ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

14 คนได้เล่าเรื่องราวการทำงานในบางแห่งที่ไม่คุ้มกับปัญหา

มีประสบการณ์บางอย่างในที่ทำงานที่ทำให้เราจดจำได้ว่า “ฉันรอดพ้นจากสิ่งนั้นมาได้ยังไงกันนะ !” สิ่งนี้ยังเกิดขึ้นโดยบังเอิญในตอนที่เราต้องอยู่กับเจ้านาย เพื่อนร่วมงาน หรือลูกค้าที่ไม่น่ารื่นรมย์ ซึ่งอาจทำให้พนักงานบางคนอยากจะเก็บของและหนีไปอย่างไม่มีวันหวนกลับ แล้วทั้งหมดนี้ก็เนื่องมาจากการไม่ให้เกียรติกันเป็นอย่างมากที่พวกเขาได้รับในที่ทำงาน

  • เจ้านายของฉันเป็นที่รู้จักกันในเรื่องขี้เหนียว มีอยู่วันหนึ่งในฤดูหนาวในตอนที่เครื่องทำความร้อนได้พังลงอีกครั้ง ส่งผลให้พนักงานผู้ตัวหนาวสั่นกำลังพยายามทำงบบัญชีในขณะที่ยังสวมถุงมือ ฉันบอกกับเขาไปว่ามันหนาวเกินไปสำหรับคนที่ต้องใช้สมาธิ คำตอบของเขาก็คือเดินไปที่ห้องทำงานและกลับมาพร้อมกับเสื้อกันหนาวขาดรุ่งริ่งขนาดใหญ่เท่าเต็นท์ เขาโยนมันให้ฉันจากอีกฟากหนึ่งของห้องและบอกให้ฉันทำงานต่อไป นี่คือผู้ชายคนเดียวกันกับคนที่ทาสีหน้าต่างทุกบานในเวลาต่อมา เพราะไม่ต้องการให้เราเสียเวลาในการทำงานไปกับการมองออกไปข้างนอก น่าสนใจมั้ยล่ะ ! © NecessaryImmediate93 / Reddit
  • ฉันเคยทำงานเป็นครูในโรงเรียน ในช่วงวันหยุดยาว พ่อของฉันป่วยเป็นโรคหลอดเลือดสมองและต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล เนื่องจากการรักษาอยู่ในโรงพยาบาลของอีกเมืองหนึ่ง ฉันจึงต้องหยุดงานเพื่อไปกับเขา ฉันโทรไปที่โรงเรียนเพื่อบอกพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้นและแจ้งว่าฉันจะไม่อยู่ ซึ่งมันเป็นวันศุกร์ที่ตรงกับวันหยุดยาว เมื่อเรากลับมาในวันพฤหัสบดีต่อมา ฉันไปยื่นเอกสารการลา แล้วเลขาฯ บอกฉันว่ามันไม่ถูกต้องและฉันควรจะยื่นมาให้ในวันศุกร์ เธอทำกริยาไม่ดี เพราะเธอรู้ว่าฉันไม่มีทางทำอะไรเธอได้ แล้วเธอก็ไม่ได้บอกฉันด้วยว่าฉันสามารถส่งรูปถ่ายเอกสารผ่านข้อความทางโทรศัพท์ได้ หลังจากนั้นไม่นานฉันก็ลาออก © Rachel B. Daga/Facebook
  • ฉันทำงานในโรงเรียนดนตรี 2 แห่งและเป็นประสบการณ์ที่แย่มาก ในที่แรกพวกเขาจ่ายเงินช้าและไม่ครบ เงินมักจะขาดไป 760 — 1,901 บาท โดยหัวหน้าอ้างว่าผู้ปกครองของนักเรียนไม่จ่ายค่าธรรมเนียมรายเดือน อยู่มาวันหนึ่งมีเงินขาดไป 16,655 บาท ฉันก็ถามไปว่าทำไม แล้วก็ได้รับคำตอบว่าเพราะผู้ปกครองคนหนึ่งไม่ได้จ่ายเงิน แต่นักเรียนเข้าเรียนตลอด หลังจากฉันได้เงิน ฉันก็ขอลาออก หัวหน้ายืนกรานให้ฉันทำงานฟรี 15 วันจนกว่าจะหาครูคนใหม่ได้ แต่ฉันปฏิเสธและจบสัญญา ผู้ประสานงานใช้เวลานานหลายเดือนพยายามเรียกให้ฉันกลับไป ซึ่งฉันพบว่านักเรียนบางคนลาออกจากโรงเรียน เพราะพวกเขาไม่ชอบวิธีที่ครูคนใหม่สอนพวกเขา
    ส่วนโรงเรียนที่สอง ผู้ประสานงานต้องการควบคุมทุกนาทีในชีวิตของฉัน วันหนึ่งฉันมีอาการอาหารเป็นพิษและเธอโกรธมาก โดยบอกกับฉันว่านักเรียนไม่สนใจหรอกว่าฉันจะป่วยหรือไม่ เธอบอกให้ฉันกินยาและกลับไปทำงานต่อ สุดท้ายแล้วฉันก็เริ่มมาสอนแบบตัวต่อตัว และตอนนี้ฉันมีรายได้มากกว่าที่ได้รับจากโรงเรียนทั้ง 2 แห่งถึง 10 เท่าเลยล่ะ © Lira Silva/Facebook
  • จากการทำงานฟรีเพื่อคนอื่นมากมาย ฉันจึงสัญญาว่าฉันจะเลิกโง่และไม่ทำงานโดยที่ไม่ได้อะไรเลย ในเมืองของฉัน มีบริษัทที่เสนอจ่ายเงินให้ในช่วงทดลองงาน แต่มันคือเรื่องโกหกที่ยิ่งใหญ่ที่สุด เพราะพวกเขาใช้งานคุณและไม่จ่ายเงิน คุณทำงานหนักและสุดท้ายตอนที่คุณออกมาก็แย่กว่าตอนที่คุณเข้าไป ฉันผ่านประสบการณ์แบบนั้นมาสองสามครั้ง และฉันก็ใช้เวลาหนึ่งเดือนทำงานที่โรงเรียนอนุบาลเพื่อรับเงิน 3,042 บาท ฉันจึงได้ตัดสินใจเรียนเพื่อมาขายเครื่องสำอางด้วยตัวเอง เวลาผ่านไปนานนับ 9 ปีแล้วตั้งแต่ฉันเรียนจบ ทุกวันนี้ฉันยังคงมีลูกค้าประจำเหมือนเดิม © Aline Pinheiro/Facebook
  • ฉันทำงานกับบริษัทเครื่องพิมพ์ชื่อดัง ซึ่งเพื่อนร่วมงานกับฉันมีทั้งหญิงและชายเป็นช่างเทคนิคในส่วนของการพิมพ์ บริษัทที่เช่าเครื่องพิมพ์ขอให้พนักงานอยู่ในพื้นที่ตลอดเวลา หัวหน้างานของฉันจะบอกพวกเราโต้ง ๆ ว่า “ผมไม่รับผู้หญิงเข้าทำงานในวงการไอที พวกคุณควรอยู่ที่บ้าน” ให้ลองนึกภาพว่าการทำงานในสภาพแวดล้อมแบบนี้จะเป็นอย่างไร พอตอนที่ฉันตั้งครรภ์ หัวหน้าคนนั้นโทรหาฉันเป็นการส่วนตัว เพื่อบอกฉันว่าฉันควรลางานช่วงตั้งครรภ์ เพราะฉันทำให้ทั้งทีมทำงานช้าลงและทำให้พวกเขาหลุดโฟกัสเพราะปัญหาการตั้งครรภ์ของฉัน
    ก่อนที่ฉันจะลาคลอด ฉันต้องทำงานหนักขึ้นเป็นสองเท่า เพราะเขาไม่พูดอะไรกับพวกผู้ชายที่ดูฟุตบอลในเวลาทำงาน ขณะที่ฉันกับเพื่อนร่วมงานวิ่งไปรอบ ๆ พื้นที่พิมพ์งาน อีกทั้งเขายังไม่พอใจในตอนที่ฉันมองหางานอื่นและบอกกับเขาว่าฉันจะลาออก เขาโทรมาหาฉันที่บ้านและบอกว่าเขาจะต้องการฉันและให้พิจารณาเรื่องที่จะกลับมาทำงาน แต่ว่าสิ่งที่ดีที่สุดที่ฉันได้ทำก็คือการออกจากสภาพแวดล้อมที่เป็นพิษนั้นซะ © Isabel Fernanda dos Santos/Facebook
  • นับว่าเป็นเวลาจากนรกสู่สวรรค์ในเวลาไม่ถึง 3 ปี ฉันทำงานที่โรงเรียนสอนคอมพิวเตอร์ หัวหน้าและที่ปรึกษางานของฉันใจร้ายมาก จนทำให้ฉันมีปัญหาสุขภาพ มีอยู่ครั้งหนึ่งฉันเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลเป็นเวลานานหนึ่งสัปดาห์หัวหน้างานโทรมาที่ห้องของฉันในโรงพยาบาล เพื่อถามว่าฉันตั้งใจจะกลับไปทำงานเมื่อไหร่ เธอไม่แม้แต่จะถามฉันด้วยซ้ำว่าฉันเป็นยังไงบ้าง ที่นั่นมีสิ่งเลวร้ายมากพอที่จะเขียนเป็นหนังสือได้เลยล่ะ ! ฉันร้องไห้เสียใจในตอนที่พวกเขาไล่ฉันออกในที่สุด แต่ไม่นานหลังจากนั้น ฉันก็ได้งานที่บริษัทเอเจนซี่โฆษณาและเจ้านายก็ยอดเยี่ยมมาก คุณยายของฉันเสียในช่วงเวลาที่ฉันทำงาน เจ้านายของฉันเป็นคนพาแม่กับฉันไปที่บ้านของเธอ ฉันเสียใจในตอนที่ขอลาออกไปตั้งบริษัทของตัวเอง เพราะฉันมีความสุขกับการทำงานกับพวกเขา ในขณะเดียวกันปัญหาของการทำงานอันแสนชั่วร้ายยังคงรู้สึกมาจนถึงทุกวันนี้ แม้แต่ในฝันร้ายฉันก็จะไม่ไปทำงานที่นั่นอีก © Grey Giotto/Facebook
  • ขู่ว่าจะโชว์ภาพจากกล้องขณะที่ฉันพูดคุยกับเพื่อนร่วมงานที่เป็นเพศตรงข้ามกับคู่หมั้นตัวเอง และจะทำลายครอบครัวของฉัน หากฉันทำยอดขายได้ไม่มากพอ ฉันลาออกในวันรุ่งขึ้น แล้วนรกก็ไปเยือนผู้ชายคนนั้น ! เพราะเขาถูกไล่ออกเนื่องจากรายงานของหัวหน้างานเกี่ยวกับเพื่อนร่วมงานเพศหญิง © Zealousideal_Ice_775/Reddit
  • ครั้งหนึ่งฉันเคยถูกจ้างให้ทำงานคนเดียวในร้านค้าในตำแหน่งพนักงานขาย ซึ่งฉันได้รับค่าแรงขั้นต่ำโดยที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น การทำงานวันอาทิตย์ถึงวันอาทิตย์ มีวันหยุดแค่วันเดียวต่อสัปดาห์ ฉันมีเวลากินข้าวกลางวันเพียง 30 นาทีและไม่สามารถปิดร้านได้ในช่วงเวลานั้น หากฉันต้องการกินข้าว ฉันต้องกินที่นั่นในร้าน โดยที่ไม่ต้องปิดประตู แล้วมันก็มักเกิดขึ้นอยู่เสมอในตอนที่ฉันเริ่มกินข้าวกลางวันไม่ว่าเวลาใด ร้านค้าจะเต็มไปด้วยลูกค้าที่ถามงและต้องการซื้อทุกอย่าง ทำให้ฉันเลิกกินข้าวกลางวัน แล้วก็เป็นแบบนั้นมานานแล้ว จนทำให้เจ้าของร้านได้กำไรเยอะมาก แล้วตัดสินใจเปิดร้านที่ 2 ถัดจากร้านแรก เขาทำร้านและจ้างเพื่อนของเขาให้มาดูแลจัดการ ความแตกต่างก็คือเพื่อนคนนั้นคิดค่าคอมมิชชั่น แล้วก็ตามที่คาดไว้ เขาเคยมาถึงที่ทำงานสายอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงโดยที่ไม่แจ้งล่วงหน้า ในเวลากลางวันเขาก็ไม่สนใจกฎ ปิดร้านและออกไปกินข้าวนานอย่างน้อยหนึ่งชั่วโมงครึ่ง เมื่อเขากลับมา ทุกๆ 10 นาทีเขาจะออกไปโดยบอกว่าเขากำลังจะไปที่ไหนซักแห่ง ในแง่ของร้านค้ามีความคล้ายกันในเรื่องสินค้า แต่พอเมื่อมาถึงเรื่องราคาราวกับว่าพวกเขาเป็นคู่แข่ง โดยเฉลี่ยแล้วฉันขายของได้มากกว่าอีกร้านถึง 5 เท่า
    เมื่อเกิดวิกฤตขึ้น เจ้าของต้องปิดร้านหนึ่งในนั้น เขาได้ปิดร้านที่ทำกำไรได้น้อยกว่าที่เพื่อนของเขาทำงาน ในขณะเดียวกันเขาไล่ฉันออกและให้เพื่อนของเขาไปทำแทน เมื่อฉันเถียงกับเขาด้วยเหตุผลในเรื่องนั้น เพราะฉันขายของได้มากกว่าโดยที่ไม่มีค่าคอมมิชชั่น เขาตอบว่าฉันไม่ใช่เพื่อนกับเขาเหมือนพนักงานอีกคน แล้วฉันก็สามารถพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าฉันเป็นเพื่อนได้ด้วยการยื่นใบลาออก เพราะด้วยวิธีนี้เขาไม่ได้ไล่ฉันออก แล้วเขาก็ไม่ต้องจ่ายเงินค่าว่างงานให้กับฉัน ในที่สุดเมื่อฉันไม่ยอม เขาจึงไล่ฉันออก แต่ทว่าเขายังไม่ได้จ่ายเงินให้ฉันและเรื่องก็อยู่ในขั้นศาล ซึ่งดำเนินไปอย่างเชื่องช้า เพราะเขาได้แจ้งว่าบริษัทล้มละลายและไม่มีทางจ่ายให้ฉันได้ หากบริษัทล้มละลายจริง ๆ ก็เป็นเพราะพนักงานที่เป็น “เพื่อน” ของเขานั่นเอง © Alexandre Flotti/Facebook
  • ฉันทำงานในร้านขายเสื้อผ้าเล็ก ๆ และเจ้าของก็เดินไปมาทั้งวัน หากเธอไม่อยู่ตรงนั้น เธอก็มองดูเราผ่านกล้องที่เชื่อมกับแอปโทรศัพท์มือถือ ทุกสิ่งที่เราทำ เธอจะถามเราว่าเราได้ทำหรือไม่ และเธอก็สงสัยในทุก ๆ อย่าง มีอยู่ครั้งหนึ่ง ลูกค้าได้คืนกางเกงขาสั้นเข้ามาในระบบร้านค้าของเรา หัวหน้าต้องการให้เราตรวจดูสต็อกเพื่อหากางเกง แล้วก็ลงเอยด้วยการที่เธอไปเอง ในที่สุดกางเกงตัวนั้นอยู่ที่ร้านอื่นที่เธอเป็นเจ้าของและได้ส่งคืนไปแล้ว สิ่งที่แย่ที่สุดคือเธอไม่ได้บอกเราว่าเธอเจอมันแล้ว เรารู้มาจากพนักงานขายของร้านนั้น นี่เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้ฉันเหนื่อยล้า ในตอนที่ฉันลาออก ฉันบอกเธอว่าเหตุผลที่ฉันลาออกก็คือเธอ © Raquel Lara/Facebook
  • เพื่อนของฉันทำงานเป็นแคชเชียร์ในซูเปอร์มาร์เก็ต เธออยู่ที่จุดชำระเงินด่วนสำหรับสินค้า 10 ชิ้นหรือน้อยกว่านั้น แต่มีอยู่วันหนึ่ง ลูกค้ายืนกรานว่าจะคิดเงินที่ช่องนี้ทั้ง ๆ ที่มีของอยู่เต็มรถเข็น เมื่อเธอบอกว่าเธอไม่สามารถคิดเงินให้ได้ ลูกค้าก็โวยวายและเรียกหาผู้จัดการ ในตอนที่เขามาถึง เขาพูดกับเพื่อนของฉันว่า “คุณควรคิดเงินให้ผู้หญิงคนนี้ เพราะลูกค้าพูดถูกเสมอ” เธออธิบายให้เขาฟังว่าคิวยาว ถึงจะสามารถเรียกให้เธอคิดเงินได้ก็จริง แต่กฎคือสินค้าเพียง 10 ชิ้นเท่านั้น แต่ลูกค้ามีสินค้าเยอะกว่านั้น ผู้จัดการได้ส่งเธอไปที่สำนักงานเพื่อลงนามในหนังสือคำเตือน โดยเขากล่าวว่าเธอปฏิบัติต่อลูกค้าไม่เหมาะสม เธอขอลาออกจากงานตรงนั้นทันทีหลังจากที่เธอทำงานอยู่ที่นั่นมา 5 ปี © Josiane Souza Alves/Facebook

คุณเคยผ่านสถานการณ์ที่คล้ายกับเรื่องราวเหล่านี้ หรือว่าคุณรู้จักคนที่เคยมีประสบการณ์คล้ายกันบ้างหรือเปล่า ? แล้วคุณรู้สึกเสียใจที่ได้ทำงานในสถานที่ที่ไม่คุ้มค่าที่จะทำบ้างมั้ยนะ ?

เครดิตภาพพรีวิว Josy Kreissl/Facebook
แชร์บทความนี้