7 ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับโจรสลัดที่อาจเปลี่ยนความคิดเห็นของคุณเกี่ยวกับแจ็ก สแปร์โรว์
แจ็ก สแปร์โรว์ (Jack Sparrow) หรือที่จริงแล้วคือกัปตันแจ็ก สแปร์โรว์ ถ้าเขามีตัวตนอยู่จริง ก็คงจะดูมีเสน่ห์มากทีเดียว เพราะโจรสลัดผู้นี้ชื่นชอบเสื้อผ้าและเครื่องประดับที่ทันสมัย และส่วนใหญ่แล้วเขาก็ให้คุณค่ากับชิ้นส่วนของแผนที่เก่า ๆ มากกว่าหีบที่เต็มไปด้วยทองคำ อีกทั้งไม่น่าเป็นไปได้อย่างมากที่เดวี่ โจนส์ (Davy Jones) จะเป็นหัวหน้ากลุ่มของโจรสลัด ทั้งที่จริงแล้วเขาน่าจะเป็นเจ้าของโรงแรมหรือไม่ก็กะลาสีธรรมดา ๆ ที่มักจะตกน้ำอยู่บ่อยครั้งเพราะปัญหาด้านการมองเห็นของเขา
พวกเราที่ชีวิตสดใสชื่นชอบหนังโจรสลัดและเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ เกี่ยวกับพวกเขา แล้วนี่ก็คือการรวบรวมข้อเท็จจริงที่น่าสนใจและคาดไม่ถึงเกี่ยวกับโจรสลัด และในท้ายบทความ พวกเราก็มีของแถมเกี่ยวกับวิธีการที่จูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) ได้ปฏิบัติตอนที่เขาถูกโจรสลัดลักพาตัวไป
ธงจอลลี่ โรเจอร์ (ธงโจรสลัด) อาจเป็นสีแดง
นักประวัติศาสตร์ยังไม่เข้าใจที่มาที่ไปของคำว่า “จอลลี่ โรเจอร์” (Jolly Roger) ซึ่งเป็นชื่อเรียกของธงโจรสลัดที่มีรูปหัวกะโหลกและกระดูกอยู่บนนั้น โดยบางคนเชื่อว่าคำนี้มาจากภาษาฝรั่งเศสคำว่า “โจลี่ รูจ” (Joli Rouge) ซึ่งแปลว่า “สีแดงสวย”
อันที่จริงแล้วสีดำกับสีแดงเป็น 2 สีที่ได้รับความนิยมมากที่สุดที่ใช้กับธง โดยพวกเขาจะใช้สัญลักษณ์ที่เตือนฝ่ายตรงข้ามถึงผลลัพธ์ที่จะตามมาหากพวกเขาต่อต้านการโจมตี ซึ่งรูปโครงกระดูก หัวกะโหลก หัวใจเปื้อนเลือด นาฬิกาทราย และปีกเป็นสัญลักษณ์ที่ใช้กันมากที่สุดบนธง
สำหรับโจรสลัดแล้ว แผนที่มีค่ามากกว่าสมบัติ
แน่นอนว่าโจรสลัดชอบสมบัติ ใครล่ะจะไม่ชอบกันใช่มั้ย ? แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดสำหรับพวกเขาคือแผนที่ โดยโจรสลัดจำนวนมากมีความรู้และอธิบายถึง “ความสำเร็จ” ของพวกเขา ตัวอย่างเช่น เมื่อสิ้นสุดศตวรรษที่สิบเจ็ด บาร์โธโลมิว ชาร์ป (Bartholomew Sharpe) ได้เขียนในรายงานของเขาว่าสมบัติล้ำค่าที่สุดของเขาไม่ใช่ทองคำหรือเงิน แต่เป็นแผนที่การเดินเรือของสเปน ซึ่งในเวลาต่อมาชาร์ปได้จัดทำสำเนาแผนที่ที่ถูกขโมยมาเป็นภาษาอังกฤษพร้อมกับมีภาพประกอบสีสันสดใสและมอบให้กษัตริย์แห่งอังกฤษ
ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน ถูกตั้งชื่อตามเนื้อรมควัน
ไพเรทส์ ออฟ เดอะ แคริบเบียน ถูกเรียกชื่อตามคำว่า “บัคคาเนียร์ส” (buccaneers) สำหรับความชื่นชอบในเนื้อสัตว์การรมควันหรือย่างเนื้อบนโครงไม้ของชาวพื้นเมืองในอเมริกาใต้และชาวแคริบเบียนเรียกว่า “บัคแคน” (buccan) โดยชาวสเปนจะเรียกกระบวนการนี้ว่า “บาร์บาโค” (barbacoa) ซึ่งต่อมากลายเป็นคำว่า “บาร์บีคิว” (barbecue) ดังนั้นชื่อโจรสลัดที่น่ากลัวนี้จึงถูกตั้งชื่อตามเนื้อรมควัน
แรกเริ่มนั้นนักล่าหมูป่าและวัวควายผู้ไม่มีที่ดินเป็นของตนเองบนเกาะฮิสปานิโอลาถูกขนานนามว่าเป็น “บูคาเนียร์ส” (boucaniers) โดยพื้นที่ส่วนใหญ่ที่ไม่มีคนอาศัยอยู่ของดินแดนทอร์ทูก้าและฮิสปานิโอลา พวกเขาได้รมควันเนื้อสัตว์ที่พวกเขาจับได้และขายให้กับโจรสลัด ต่อมาผู้คนจึงเริ่มเรียกโจรสลัดว่า “บัคคาเนียร์ส”
ชีวิตบนเรือโจรสลัดมีอารยะธรรมมากกว่าเรือสินค้า
กะลาสีที่ทำงานบนเรือสินค้ามักตกอยู่ในสภาพที่ยากลำบาก เพราะหลายครั้งที่อาหารบนเรือไม่เพียงพอ ได้กินอาหารแย่ ๆ และยิ่งไปกว่านั้นเมื่อสิ้นสุดการเดินทาง หลายคนก็ไม่ได้รับเงินเสียด้วยซ้ำ
ส่วนชีวิตของโจรสลัดนั้นน่าดึงดูดมากกว่า ตัวอย่างเช่น หนึ่งในบันทึกระบุว่าลูกเรือทุกคนมีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงในเรื่องที่อภิปราย และถ้ามีใครได้รับบาดเจ็บสาหัสระหว่างการเดินทาง พวกเขาก็จะได้รับเงินตอบแทนจำนวนมาก
แบล็คเบียร์ดเป็นโจรสลัดที่น่ากลัวที่สุดในประวัติศาสตร์
เอ็ดเวิร์ด ทีช (Edward Teach) หรือที่รู้จักในชื่อแบล็คเบียร์ด (Blackbeard) มีชื่อเสียงที่แย่มาก ๆ เขามีหนวดเคราขึ้นเต็มใบหน้าไปจนถึงดวงตาของเขาและมันก็ยาวมาก ๆ ด้วย โดยก่อนการต่อสู้เขาจะใส่สายชนวนเข้าไปในเคราของตัวเองแล้วจุดไฟเผาเพื่อทำให้ศัตรูหวาดกลัว แต่ส่วนใหญ่แล้วเป็นการแสดง เพราะไม่มีหลักฐานว่าเขาเคยฆ่าใครหรือทำร้ายนักโทษของเขาจริง ๆ เลยซักคน
และเพื่อนร่วมงานของเขาก็คือ สเต็ด บอนเน็ต ที่หนีภรรยาของตัวเองไปอยู่กับโจรสลัด
สเต็ด บอนเน็ต (Stede Bonnet) หรือที่รู้จักในชื่อ “สุภาพบุรุษโจรสลัด” เขาไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับท้องทะเล แต่เขาจ้างคนงานที่อู่ต่อเรือให้สร้างเรือให้กับเขา จากนั้นเขาก็จ้างลูกเรือและกลายเป็นโจรสลัด โดยบางคนเชื่อกันว่าความจู้จี้จุกจิกที่ไม่หยุดหย่อนของภรรยาของเขา ทำให้บอนเน็ตมีพฤติกรรมเช่นนั้น
ทฤษฎีมากมายเกี่ยวกับเดวี่ โจนส์
นักวิจัยมีเรื่องราวบางอย่างเกี่ยวกับต้นแบบของเดวี่ โจนส์ (Davy Jones) โดยตามตำนานเล่าขานว่าเขาเป็นโจรสลัดที่แล่นเรือในมหาสมุทรอินเดียในช่วงยุค 1630 แต่ตามประวัติศาสตร์แล้ว เขาก็ไม่ได้มีชื่อเสียงมากพอที่จะเป็นที่จดจำได้นานขนาดนั้น
ในอีกเรื่องเล่าก็กล่าวว่าเดวี่ โจนส์ เป็นเจ้าของผับที่จับลูกค้าของเขาเป็นตัวประกัน แล้วก็ส่งพวกเขาไปรับใช้อยู่บนเรือ ส่วนอีกเรื่องเล่านึงก็กล่าวว่าเขาเป็นกะลาสีสายตาสั้นที่มักจะตกน้ำบ่อย เพราะการมองเห็นที่แย่ ๆ ของเขา
โบนัส: จูเลียส ซีซาร์ ทำให้โจรสลัดฟังบทกวีของเขา
เมื่อจูเลียส ซีซาร์ (Julius Caesar) อายุ 25 ปี เขาถูกโจรสลัดลักพาตัวไป แต่ว่าที่จักรพรรดิกลับรู้สึกดีมาก ๆ โดยเขาได้ออกคำสั่งพวกโจรสลัดและเรียกร้องให้พวกโจรปล่อยให้เขานอน ยิ่งไปกว่านั้นเขายังทำให้โจรสลัดฟังสุนทรพจน์และบทกวีของเขา และเรียกพวกโจรสลัดว่าพวกไม่มีการศึกษา หากพวกโจรสลัดดูไม่ประทับใจในบทกวีของเขามากพอ
คุณคิดเห็นเกี่ยวกับโจรสลัดยังไงกันบ้าง ? แล้วคุณคิดว่านักเขียนและผู้กำกับไม่ควรทำให้ชีวิตของพวกเขาดูโลกสวยเกินไปใช่หรือเปล่า ?