8 นักแสดงที่เลือกจะถูกลดค่าตัวลงเยอะมากเพื่อที่จะได้เล่นบทที่พวกเขาอยากเล่น
นอกเหนือจากพรสวรรค์ของพวกเขาแล้ว นักแสดงชื่อดังส่วนใหญ่ได้รับค่าตัวเยอะมากเพราะมันการันตีว่าพวกเขาจะทำเงินมากมายให้กับโปรดักชั่นได้ พวกเขาได้นำทักษะมาใช้ให้เกิดประโยชน์และเป็นแม่เหล็กทางการตลาดหลักของทุก ๆ โปรเจกต์ ถึงอย่างนั้นในบางครั้งงบประมาณก็ไม่อาจรองรับความต้องการทางการเงินของพวกเขาได้และโปรดิวเซอร์ก็เสนอค่าตัวให้นักแสดงเหล่านี้น้อยกว่าที่เคยได้มาก
ชีวิตสดใสรู้ดีว่าบางครั้งแม้แต่นักแสดงชื่อดังก็ต้องลดค่าตัวของตัวเองลงเพื่อที่จะได้แสดงในบทที่พวกเขาต้องการจริง ๆ
1. โรเบิร์ต แพททินสัน
โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson) ได้ค่าตัวประมาณ 3.3 พันล้านบาท (100 ล้านดอลลาร์) สำหรับผลงานทุกอย่างของเขาในอุตสาหกรรมหนังและงานอื่น ๆ สำหรับเรื่องแวมไพร์ ทไวไลท์ (Twilight) ภาคแรก เขาได้ค่าตัว 82.5 ล้านบาท (2.5 ล้านดอลลาร์) และในภาคสุดท้าย เขาได้ค่าตัวทั้งหมด 825 ล้านบาท (25 ล้านดอลลาร์) ถ้าเรานับโบนัสจากบ๊อกซ์ออฟฟิสด้วย เท่ากับว่าเขาได้ค่าตัวรวม 1.353 พันล้านบาท (41 ล้านดอลลาร์) ถึงอย่างนั้น ในเรื่องแบทแมน (The Batman) เขาได้ค่าตัวเพียง 99 ล้านบาท (3 ล้านดอลลาร์) โดยที่ไม่มีโบนัสอะไรเลย เพราะเขารู้สึกหลงใหลกับการได้ร่วมแสดงหนังเรื่องนี้
2. ไรอัน กอสลิ่ง
นักแสดงหนุ่มมีชื่อเสียงหลังจากได้แสดงเรื่องรักเธอหมดใจ ขีดไว้ให้โลกจารึก (The Notebook) ซึ่งเขาได้ค่าตัว 33 ล้านบาท (1 ล้านดอลลาร์) อย่างไรก็ตาม ในบทบาทต่อมา เขาอยากจดจ่อกับคุณภาพของโปรเจกต์และไม่ได้สนใจที่จะให้มันเป็นหนังทำเงินซักเท่าไหร่ นี่จึงเป็นสาเหตุที่เขายอมรับค่าตัวแค่สัปดาห์ละ 33,000 บาท (1,000 ดอลลาร์) สำหรับบทแสดงนำในภาพยนตร์เรื่องฮาล์ฟ เนลสัน (Half Nelson) ภาพยนตร์เรื่องนี้มอบความสำเร็จให้กับไรอัน กอสลิ่ง (Ryan Gosling) เนื่องจากเขาถูกเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์
3. แมทธิว แมคคอนาเฮย์
ในปี 2008 แมทธิว แมคคอนาเฮย์ (Matthew McConaughey) ได้รับการเสนอค่าตัวให้ 495 ล้านบาท (15 ล้านดอลลาร์) และจะได้เงินส่วนอื่นเพิ่มอีก 15% เพื่อแสดงในหนังทำใหม่เรื่องแมกนัม คนระห่ำสืบ (Magnum P.I.) อย่างไรก็ตาม เขาปฏิเสธบทบาทนั้นเนื่องจากเขาอยากจะสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองใหม่ให้มีความจริงจังมากกว่าเดิม ในอีก 2-3 ปีต่อมาเขาได้ปรากฏตัวในเรื่องสอนโลกให้รู้จักกล้า (The Dallas Buyers Club) ซึ่งค่าตัวของเขาน้อยกว่า 6.6 ล้านบาท (2 แสนดอลลาร์) ซะอีก แต่การตัดสินใจของเขาถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้องอย่างมากเนื่องจากเขาได้รางวัลออสการ์จากหนังเรื่องนี้
4. คริสเต็น สจ๊วต
จากภาพยนตร์แวมไพร์ ทไวไลท์ภาคแรกที่เธอทำเงินได้ 66 ล้านบาท (2 ล้านดอลลาร์) คริสเต็น สจ๊วต (Kristen Stewart) ทำเงินได้ 825 ล้านบาท (25 ล้านดอลลาร์) จากหนังสองภาคสุดท้ายของเรื่องนี้ และนั่นยังไม่รวมโบนัสอื่น ๆ อีก อย่างไรก็ตาม ในปี 2012 เธอได้เริ่มถ่ายหนังเรื่องกระโจนคว้าฝัน วันของเรา (On the Road) เคียงคู่ไปกับนักแสดงที่มีพรสวรรค์มาก เนื่องจากการโดนตัดงบอย่างมหาศาล เธอต้องยอมรับค่าตัวที่ต่ำกว่า 6.6 ล้านบาท (2 แสนดอลลาร์)
5. โอปราห์ วินฟรีย์
โอปราห์ วินฟรีย์ (Oprah Winfrey) เป็นหนึ่งในผู้หญิงที่รวยที่สุดในฮอลลีวูดและเธอก็ทำงานหนักมากเพื่อให้ได้ทุกอย่างที่เธอมี ครั้งหนึ่งเธอเคยเป็นพิธีกรรายการทอล์กโชว์ที่มีค่าตัวสูงที่สุด โดยเธอทำเงินได้ปีละ 10,395 ล้านบาท (315 ล้านดอลลาร์) จากการทำรายการในแต่ละวัน อย่างไรก็ตาม กว่าเธอจะอยู่ในตำแหน่งที่เรียกค่าตัวมหาศาลได้แบบนี้ เธอก็เคยได้ค่าตัวเพียง 1.155 ล้านบาท (35,000 ดอลลาร์) จากการแสดงเรื่องเลือดสีม่วง (The Color Purple) นั่นเป็นเพราะตอนนั้นเธอยังไม่เป็นที่รู้จัก แล้วรายการทอล์กโชว์ของเธอก็เปิดตัวในปี 1986 เป็นเวลาหนึ่งปีหลังจากที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ออกฉาย
6. แอนดรูว์ การ์ฟิลด์
แอนดรูว์ การ์ฟิลด์ (Andrew Garfield) ไม่เคยเป็นนักแสดงที่ค่าตัวสูงและได้ค่าตัวหลายล้านดอลลาร์ในหนังเรื่องไหนมาก่อน แม้แต่ในหนังสไปเดอร์แมน (Spider-Man) ทั้งสองภาคที่เขาแสดงเขาก็ได้ค่าตัวรวมกันทั้งหมดเพียง 49.5 ล้านบาท (1.5 ล้านดอลลาร์) ซึ่งน้อยกว่าที่ทอม ฮอลแลนด์ (Tom Holland) และโทบีย์ แมคไกวร์ (Tobey McGuire) ได้เยอะ และเขาก็ทำให้มันชัดเจนมากขึ้นว่าเงินไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับหนึ่งของเขา หลังจากที่เขาตอบรับที่จะแสดงหนังสเกลเล็กเรื่องศรัทธาไม่เงียบ (Silence) ของมาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese)
7. จอห์น ทราโวลต้า
นักแสดงหนุ่มมีชื่อเสียงจากการแสดงนำในภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จหลายต่อหลายเรื่อง และหลังจากเรื่องกรีส (Grease) ค่าตัวของเขาก็ขึ้นไปสูงถึง 660 ล้านบาท (20 ล้านดอลลาร์) ในทุก ๆ โปรเจกต์ เขาได้ค่าตัว 33 ล้านบาท (1 ล้านดอลลาร์) ในการแสดงหนังเรื่องเซทเทอร์เดย์ ไนท์ ฟีเวอร์ (Saturday Night Fever) แต่เขารับค่าตัวเพียง 4.62 ล้านบาท (1.4 แสนดอลลาร์) เพื่อที่จะได้ร่วมงานกับเควนติน ทารันติโน่ (Quentin Tarantino) ในภาพยนตร์เรื่องเขย่าชีพจรเกินเดือด (Pulp Fiction) กลายเป็นว่าการทำงานกับผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จในโปรเจกต์ที่ยอดเยี่ยมมีค่ามากกว่าการได้เงินมหาศาล
8. โจนาห์ ฮิลล์
นักแสดงหนุ่มได้ค่าตัวที่น่าทึ่งประมาณ 330 ล้านบาท (10 ล้านดอลลาร์) สำหรับบทบาทของเขาในเรื่องสายลับร้ายมหา’ลัย (22 Jump Street) ถึงอย่างนั้นเขาได้ค่าตัวแค่ 1.98 ล้านบาท (60,000 ดอลลาร์) ก่อนหักภาษีสำหรับการร่วมแสดงในเรื่องคนจะรวย ช่วยไม่ได้ (The Wolf of Wall Street) เขาดูจะไม่สนใจเรื่องเงินเท่าไหร่นัก แต่เขาสนใจที่จะได้ร่วมงานกับมาร์ติน สกอร์เซซี นี่เป็นสาเหตุที่เขายอมโดนลดค่าตัวมหาศาล ในขณะที่ลีโอนาร์โด ดิแคปริโอ (Leonardo Dicaprio) ทำเงินได้ 330 ล้านบาท (10 ล้านดอลลาร์) จากการแสดงหนังเรื่องเดียวกัน
คุณรู้สึกตะลึงที่นักแสดงเหล่านี้ยอมรับค่าตัวที่น้อยลงมากเพื่อที่จะได้แสดงนำหรือได้รับบทบาทเล็ก ๆ ในโปรเจกต์ในฝันของพวกเขาหรือเปล่า ?