5 รายละเอียดพฤติกรรมของลูกที่สามารถบ่งบอกถึงปัญหาที่ร้ายแรงได้
เด็กทุกคนล้วนแหกกฎ โดยพวกเขาทดสอบโลกด้วยวิธีนี้และพยายามค้นหาขอบเขตที่พวกเขาไม่สามารถก้าวข้ามไปได้ ความเอาแต่ใจและความซุกซนของเด็กส่วนใหญ่เป็นกระบวนการเรียนรู้ตามธรรมชาติ แต่ทว่ามีบางครั้งที่พฤติกรรมที่ดูเหมือนไม่เป็นอันตรายของเด็ก ๆ ก็สามารถบ่งบอกถึงบางสิ่งที่ร้ายแรงกว่านั้นได้
ที่ชีวิตสดใส พวกเราหลายคนก็เป็นพ่อแม่เหมือนกัน และพวกเราก็รู้ดีว่าความกังวลในเรื่องลูกของตัวเองนั้นเป็นอย่างไร นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้เราได้ศึกษางานของนักจิตวิทยา แล้วพบสถานการณ์ทั้ง 5 แบบที่คุณต้องให้ความสนใจ นอกจากนี้ยังมีโบนัสท้ายในบทความ ที่คุณจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับช่วงเวลาทั่ว ๆ ไปที่ทำให้ผู้ปกครองหลายคนเป็นกังวล แต่มันกลับเป็นเรื่องปกติโดยสิ้นเชิง
พวกเขาจู้จี้จุกจิกในเรื่องอาหารของตัวเอง
บ่อยครั้งที่ลูก ๆ ค่อนข้างจู้จี้จุกจิกในเรื่องการเลือกอาหาร ซ้ำยังปฏิเสธไม่กินอาหารบางประเภท แล้วนี่ก็สามารถเป็นสัญญาณเตือนว่าลูกของคุณมีปัญหาทางอารมณ์ได้ โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่าเด็กที่จู้จี้จุกจิกมาก ๆ มักเป็นโรคซึมเศร้ามากกว่าเด็กที่กินอาหารได้ทุกอย่างถึง 2 เท่า
ผู้เขียนงานการศึกษากล่าวว่าพ่อแม่จำนวน 14% ถึง 20% บ่นว่าลูก ๆ ของพวกเขาในวัยระหว่าง 3 ถึง 5 ขวบปฏิเสธที่จะกินอาหารหลายอย่าง โดยนักวิจัยได้ทำการทดลองกับกลุ่มเด็กหัดเดินที่อยู่ในวัยนี้ แล้วก็พบว่าเด็กที่จู้จี้จุกจิกในเรื่องการเลือกกินอาหารของตัวเองในระดับปานกลางหรือรุนแรง มักมีแนวโน้มที่จะเกิดความวิตกกังวลมากกว่าเด็กที่ไม่ได้เลือกกินเกือบ 2 เท่า นอกจากนี้เด็กที่มีความจู้จี้จุกจิกสูงหรือปานกลางมีแนวโน้มที่จะมีอาการซึมเศร้ามากขึ้น
พวกเขาอ่อนไหวในเรื่องเสื้อผ้าของตัวเอง
เด็กอาจบ่นสิ่งนั้นสิ่งนี้ว่ามันทิ่มพวกเขาหรือทำให้รำคาญ โดยพวกเขาอาจปฏิเสธที่จะสวมใส่ของบางอย่าง แต่ก็ไม่ต้องการถอดชิ้นอื่น ๆ ที่แม้ว่ามันจะเป็นรูแล้วก็ตาม ในขณะเดียวกันเด็กไม่สนใจสภาพอากาศและอาจจะอยากสวมหมวกในวันที่อากาศอบอุ่น หรือไม่ก็ถอดถุงมือออกหลังจากที่ถอดรองเท้าแล้วเท่านั้น ซึ่งผู้ปกครองหลายคนต่างคิดว่าสิ่งเหล่านี้เป็นเรื่องไร้สาระ ถึงแม้จะเป็นแบบนี้บ่อยครั้ง แต่นี่ก็อาจเป็นสัญญาณเตือนในเรื่องความวิตกกังวลที่มากขึ้นได้เช่นกัน
พวกเขาใช้พวกอุปกรณ์เทคโนโลยีบ่อยกว่าปกติ
เด็กหลายคนชอบเล่นเกมในสมาร์ทโฟนหรือคอมพิวเตอร์ แต่เด็กที่มีความวิตกกังวลอาจใช้เวลาอยู่กับหน้าจอมากขึ้น โดยนักวิทยาศาสตร์พบว่าการเสพติดพวกอุปกรณ์เทคโนโลยีอาจเป็นสัญญาณเตือนในเรื่องความวิตกกังวลและความเครียดที่เพิ่มขึ้นได้ หากเด็กใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับสมาร์ทโฟน นั่นเป็นเพราะพวกเขาอาจกลัวที่จะพลาดเหตุการณ์หรือข้อความสำคัญ
หากคุณเห็นว่าลูกของคุณใช้เวลาอยู่กับโทรศัพท์มากเกินไป ให้พูดคุยกับพวกเขา หรือเล่นเกมออนไลน์กับพวกเขา หรือไม่ก็ถามว่าพวกเขากำลังดูอะไรอยู่ เพราะพฤติกรรมประเภทนี้สามารถให้ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์แก่คุณเกี่ยวกับสิ่งที่รบกวนจิตใจลูกของคุณมาก ๆ ได้
พวกเขาขอของเล่นชิ้นใหม่
พ่อแม่หลายคนเคยตกอยู่ในสถานการณ์ที่ลูกร้องขอให้ซื้ออะไรซักอย่างให้เขาในขณะที่ร้องไห้และงอแง ซึ่งเราเชื่อกันว่าเด็กวัยหัดเดินทุกคนต้องผ่านระยะนี้ แต่นักจิตวิทยาลุดมิลา เปตรานอฟสกาย่า (Lyudmila Petranovskaya) ได้บอกไว้ว่าวิธีนี้ไม่ถูกต้องทั้งหมด เพราะโดยปกติแล้วเด็กจะไม่กังวลในสิ่งที่ขาดหายไปในชีวิตจนถึงช่วงวัยรุ่น เพราะโลกของพวกเขาเต็มไปด้วยทุกสิ่งที่พวกเขานั้นต้องการ
อย่างไรก็ตาม หากพ่อแม่มักทะเลาะกันเรื่องเงินในขณะที่ลูกอยู่ด้วยหรือตำหนิลูกในเรื่องค่าใช้จ่ายอยู่บ่อย ๆ สิ่งนี้สามารถพัฒนารูปแบบโลกที่มีความบกพร่องในเด็กได้ ซึ่งในกรณีนี้ เด็กคิดว่าโลกเป็นสถานที่ที่มีบางสิ่งบางอย่างขาดหายไป และพวกเขาต้องพยายามอย่างหนักเพื่อให้ได้มันมา นั่นจึงเป็นเหตุผลที่เด็ก ๆ ที่ประสบกับความบกพร่องมักจะขอของเล่นชิ้นใหม่ ที่แม้ว่าพวกเขาจะไม่ต้องการมันจริง ๆ ก็ตาม เพราะพวกเขาแค่ต้องการดูว่าพ่อแม่สามารถดูแลพวกเขาได้หรือไม่
พฤติกรรมแบบนี้แก้ไขได้ด้วยความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งนี่ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องซื้อทุกอย่างที่ลูกขอ แต่หมายความว่าควรให้สิ่งของตามปกติ อย่างเช่น เมื่อพ่อแม่มอบบางอย่างให้กับลูก ที่ไม่ใช่เพราะลูกร้องขอหรือสมควรได้รับ แต่กลับไม่มีเหตุผลเฉพาะเจาะจงอะไร โดยของขวัญราคาไม่แพงที่จู่ ๆ ก็มอบให้พวกเขาจะแสดงความรักได้มากกว่าสิ่งของที่มีราคาแพงที่เด็ก ๆ ต้องร้องขอมาด้วยน้ำตา
พวกเขามองหาข้อมูลใหม่ ๆ อยู่เสมอ
นักจิตวิทยากล่าวว่าหากเด็กค้นหาข้อมูลออนไลน์อย่างต่อเนื่อง ติดตามข่าวสาร และถามคำถามมากกว่าปกติ นั่นแสดงว่าพวกเขามีความวิตกกังวลเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากคุณเห็นว่าลูกของคุณมีความอยากรู้อยากเห็นที่มากขึ้น และถามคำถามอย่างเช่น “จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเกิดแผ่นดินไหว ?” ให้คุณพยายามค้นหาสิ่งที่รบกวนจิตใจพวกเขาอย่างละเอียดถี่ถ้วน และทำให้พวกเขารู้ว่าคุณพร้อมที่จะรับฟังและช่วยเหลือพวกเขา
โบนัส: พฤติกรรมของลูกที่ทำให้คุณกลัว แต่มันกลับเป็นเรื่องที่ปกติโดยสิ้นเชิง
- อารมณ์ฉุนเฉียว: นี่เป็นส่วนที่ปกติและดีต่อสุขภาพของการเจริญเติบโต เพราะความโกรธเกรี้ยวช่วยให้เด็ก ๆ ตรวจสอบขอบเขตและสำรวจโลกรอบตัวพวกเขา อย่างไรก็ตามบางครั้งอารมณ์ฉุนเฉียวที่บ่อยเกินไป ทำให้พ่อแม่เริ่มกังวลว่าลูก ๆ ของตัวเองจะมีปัญหาทางจิตอย่างรุนแรงหรือไม่ แต่ทว่าพฤติกรรมนี้มักจะไม่มีเจตนา
- พฤติกรรมแย่ ๆ ต่อหน้าคนอื่น: โดยปกติแล้วเด็กที่สงบจะเริ่มส่งเสียง วิ่งไปรอบ ๆ และขอให้คุณด้วยเล่นต่อหน้าแขกของคุณ บางคนอาจกังวลเกี่ยวกับพฤติกรรมนี้ แต่นี่ก็เป็นเรื่องปกติ เพราะเด็กจะกังวลเมื่อเห็นว่ามีคนอื่นมาสนใจคุณ โดยพวกเขาแค่ต้องการยืนยันว่าความสัมพันธ์ระหว่างคุณ 2 คนนั้นไม่มีปัญหา
คุณทราบสัญญาณเตือนอื่น ๆ ที่แสดงว่ามีบางอย่างผิดปกติกับลูกของคุณบ้างมั้ย ? บอกความคิดเห็นของคุณลงในคอมเมนต์ด้านล่างได้นะ