“เขาต้องก้าวลงจากแท่นและพูดว่า ’ครับ ผมเป็นพ่อของเธอ’,” เรื่องราวการซ่อมแซมความสัมพันธ์กับลูกสาวคนโตของมิก แจ็กเกอร์
ร็อกสตาร์ชาวอังกฤษคนนี้เป็นที่รู้จักในหลายเรื่อง แต่การเป็นคนรักครอบครัวไม่ใช่หนึ่งในนั้นแน่ ๆ เขามีความสัมพันธ์โรแมนติกมากมายหลายครั้งและการแต่งงานสองครั้งก็ส่งผลให้เขาได้เป็นพ่อของลูกแปดคน มีตั้งแต่อายุ 5 ขวบจนถึง 51 ปีเลยทีเดียว แม้มันจะดูเหมือนเขาสนุกกับการเป็นพ่อและเป็นคุณปู่คุณตาแล้วในตอนนี้ แต่มันก็ไม่ได้เป็นอย่างนี้เสมอไป มิก แจ็กเกอร์ (Mick Jagger) ห่างเหินจากลูกสาวคนโตของเขาไปนานมาก แต่สถานการณ์ที่เปลี่ยนไปแบบไม่ได้คาดคิดก็ทำให้พวกเขากลับมาใกล้ชิดกันอีก และได้กระชับความสัมพันธ์ของพวกเขาอย่างที่ไม่เคยได้ทำมาก่อน
ชีวิตสดใสได้นำเรื่องราวความสัมพันธ์ที่กระท่อนกระแท่นระหว่างแจ็กเกอร์และ คาริส (Karis) ที่พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกนั้นทรงพลังได้มากขนาดไหน
แจ็กเกอร์ในวัย 78 ปีที่เป็นพ่อของลูกทั้ง 8 คน
ตอนที่มิก แจ็กเกอร์วัย 78 ปีคนนี้อยู่ในช่วงวัย 20 เขาคบหากับนางแบบ นักร้อง และนักแสดง ชาวอเมริกัน มาร์ชา ฮันต์ (Marsha Hunt) ทั้งคู่เจอกันตอนถ่ายแบบในปี 1970 และหลังจากนั้นไม่นาน ความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งแต่สั้นของพวกเขาก็เกิดขึ้น ฮันต์ยอมรับว่า “ความขี้อายและความประดักประเดิด” ของแจ็กเกอร์ทำให้เธอหลงเขามาก ความรักของพวกเขาถูกเก็บเป็นเรื่องส่วนตัวเนื่องจากความแตกต่างในชีวิตสังคมของพวกเขาทั้งคู่
ฮันต์ยอมรับว่าแม้พวกเขาจะวางแผนมีลูกกัน พวกเขาก็ไม่ได้ตั้งใจจะอยู่ด้วยกันอยู่แล้ว แจ็กเกอร์คิดเรื่องการขอเธอแต่งงาน แต่ไม่ได้คิดว่าเขารักเธอมากพอที่จะใช้ทั้งชีวิตของเขากับเธอ ฮันต์ก็รู้สึกกับแจ็กเกอร์ในแบบเดียวกัน
ความสัมพันธ์ของพวกเขาสั้นแต่ว่าลึกซึ้ง
ความสัมพันธ์ของพวกเขาจบลงในเดือนมิถุนายน 1970 ขณะที่มาร์ชากำลังตั้งครรภ์ คาริส ลูกสาวของพวกเขาเกิดในวันที่ 4 เดือนพฤศจิกายน ที่ลอนดอน เธอเป็นลูกคนแรกในบรรดาลูกทั้ง 8 คนของแจ็กเกอร์ และเป็นลูกคนเดียวของมาร์ชา แม่ของเธอ
ทั้งคู่แยกทางกันจากนั้นไม่นานนัก ด้วยแจ็กเกอร์เริ่มห่างเหินกับอดีตคนรักของเขามากขึ้นเรื่อย ๆ เขายังปฏิเสธที่จะยอมรับในทางกฎหมายว่าเขาเป็นพ่อของคาริส ทำให้มาร์ชาต้องใช้กระบวนการศาลเพื่อให้ลูกได้รับการดูแลจากเขาด้วย
เขาไม่ได้รักเธอแต่บอกว่าเธอมีความสามารถมาก
เขาไม่ได้รอนานเลยเพื่อไปคบหากับผู้หญิงคนอื่น ๆ แคเธอรีน เจมส์ (Catherine James) แฟนสาวในตอนนั้นของเขานึกย้อนไปว่า “ตอนที่ฉันย้ายเข้าบ้านมิก ฉันรู้เรื่องมาร์ชาแล้ว แต่ความสัมพันธ์ของเขากับเธอมันจบไปแล้วนะตอนนั้น มันดูไม่ได้เป็นเรื่องใหญ่สำหรับเขาเลย เขาแค่พูดว่าเธอเป็นผู้หญิงที่เขาเคยเจอแล้วก็ทำเธอท้อง เขาบอกว่าเขาไม่ได้รักเธอ แต่เธอมีความสามารถมาก”
มาร์ชาอยู่คนเดียวในช่วงที่คลอดลูกสาว และแจ็กเกอร์ก็แวะมาเยี่ยมเธอกับลูกแค่ครั้งเดียวในสองสามวันต่อมา ต่อมาเป็นเวลาหลายปี มาร์ชาก็ต้องเจอปัญหากับการบอกให้คู่รักเก่าของเธอจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูและบิลค่ารักษาพยาบาล สุดท้าย ในปี 1977 เธอย้ายไปที่อเมริกาและหลังจากผ่านไปเกือบสองปี เธอก็สามารถจ้างทนายฝีมือดีมาช่วยเธอได้
อย่าวไรก็ตาม ทนายของแจ็กเกอร์ก็ได้บังคับให้มาร์ชาเซ็นเอกสารที่ระบุว่าเขาไม่ใช่พ่อของเด็ก ซึ่งเธอต้องตกลงอย่างไม่เต็มใจ “ฉันไม่รู้ว่าทำไมมิกทำแบบนั้นเพราะเขาบอกฉันตอนนั้นว่าคาริสเป็นลูกของเขา” แคเธอรีน เจมส์ อดีตแฟนสาวของแจ็กเกอร์กล่าว สุดท้ายในปี 1979 ศาลแห่งลอสแองเจลีสก็ตัดสินว่าที่จริงแล้วแจ็กเกอร์เป็นพ่อของเด็ก และเขาก็ถูกบังคับให้ต้องจ่ายเงินค่าเลี้ยงดูรายเดือน
แต่ถึงแม้เขาจะปฏิเสธความเป็นพ่อ มาร์ชาก็อยากให้คาริสรู้ว่าพ่อของเธอเป็นใคร ตอนที่เพลงของวง The Rolling Stones ดังขึ้นมาในวิทยุ เธอจะบอกลูกว่า “นั่นพ่อของลูก” เมื่อถูกถามว่าเธอรู้สึกแย่ไหมที่ต้องเลี้ยงลูกในสถานการณ์ที่ไม่ดีเอาเสียเลย มาร์ชาบอกว่า “ไม่ค่ะ สิ่งที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของฉัน นอกจากนั้น ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับมิก ลูกสาวฉันก็ยังมีชีวิตที่เฉิดฉายอยู่ดี”
แจ็กเกอร์อ้างว่าคาริสลูกสาวของพวกเขาไม่ใช่ลูกของเขา
แล้วจู่ ๆ ตอนคาริสอายุ 12 ปี มิกก็ตัดสินใจว่าได้เวลาที่เขาจะรู้จักเธอให้มากขึ้น แต่มันก็ไม่ใช่ขั้นตอนที่ง่ายสำหรับเขาเช่นเดียวกัน “เขาต้องลงจากแท่นมาเพื่อบอกว่า ’ครับ ผมเป็นพ่อของเธอ กลับบ้านกับผมเถอะ’ ตอนที่เขาพูดเรื่องอื่นในที่สาธารณะอยู่” มาร์ชาเล่า
เรื่องที่ดูจะเป็นเรื่องการเปลี่ยนใจอย่างกะทันหันนี้จริง ๆ แล้วเกิดขึ้นเพราะอิทธิพลอันยาวนานของเจอร์รี ฮอลล์ (Jerry Hall) ภรรยาของแจ็กเกอร์ในตอนนั้น ฮอลล์มักจะเชิญคาริสมาในการรวมตัวของครอบครัวและต้องแน่ใจว่าลูก ๆ ของมิกได้ใช้ช่วงวันหยุดหน้าร้อนด้วยกันบ้าง
เจอร์รี ฮอลล์ต้องการทำให้ครอบครัวได้อยู่ด้วยกัน
ฮอลล์กับแจ็กเกอร์ รวมถึงมาร์ชา ได้ไปงานฉลองจบการศึกษาที่มหาวิทยาลัยเยลในปี 1992 ตอนที่คาริสได้รับปริญญาตรีในด้านประวัติศาสตร์ร่วมสมัย พ่อและลูกสาวได้ใช้เวลาด้วยกันมากขึ้น ซึ่งทำให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแข็งแรงขึ้น
พวกเขาอยู่ด้วยกันในช่วงทุกสำคัญของชีวิต มิกเป็นคนส่งตัวคาริสในวันแต่งงาน และเขาเชิญเธอมาที่พระราชวังบัคกิงแฮมในวันฉลองการรับตำแหน่งอัศวินของเขาด้วย คาริสยังอยู่ข้างพ่อของเธอในปี 2003 ที่งานศพของ โจ พ่อของมิกในปี 2006
คาริสเริ่มใช้เวลากับพ่อของเธอมากขึ้น
ดูเหมือนว่าสุดท้ายแล้วมิกจะทำตัวเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น ทั้งมาร์ชาและเขาก็ตัดสินใจที่จะปล่อยวางความไม่พอใจกันในอดีตลง คาริสยังเป็นที่ยอมรับในหมู่พี่น้องของเธอและได้เป็นสมาชิกครอบครัวแจ็กเกอร์อย่างเท่าเทียมกันด้วย
สมาชิกของครอบครัวแจ็กเกอร์ทุกคนยอมรับคาริสเป็นพี่สาวพวกเขา
ในปี 2014 คาริสอยู่ข้างพ่อของเธอในช่วงเวลาที่ย่ำแย่ที่สุดของเขา ตอนที่เขากำลังเสียใจกับการสูญเสียลอเรน สก็อตต์ (L’Wren Scott) คนรักที่อยู่ด้วยกันมานานอย่างน่าเศร้า มิกบินไปที่บ้านของคาริสที่ลอสแองเจลีสทันทีหลังจากเขาได้ยินข่าวเศร้า คาริสจัดการงานศพและอยู่กับเขาตลอดเวลา
ต่างกับลูกคนอื่น ๆ ของแจ็กเกอร์ คาริสมีความสัมพันธ์ที่ดีกับลอเรนมาโดยตลอด แม้ว่าพวกเขาจะไม่ได้ใกล้ชิดกันเท่าไร การที่มิกเลือกจะไปรักษาใจขณะที่ใช้เวลากับลูกสาวที่เขาเคยไม่ยอมรับบอกอะไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์พวกเขาได้มาก “มิกรู้สึกปลอดภัยเมื่ออยู่กับเธอ เธอไม่เคยตัดสินเขา พระเจ้ารู้ดี เขาทำให้เธอมีเหตุผลที่ต้องทำแบบนั้น” แหล่งข่าวที่ใกล้ตัวแจ็กเกอร์เคยพูดเอาไว้
คาริสไม่ใช้ชีวิตให้เป็นที่โดดเด่น แตกต่างจากลูก ๆ ของแจ็กเกอร์
ตามคำพูดของคนที่รู้จักเธอ คาริสเป็นคนอ่อนโยน ติดดิน และแตกต่างจากลูกคนอื่นของแจ็กเกอร์ “การเลือกไปอยู่กับคาริสในตอนนั้นเป็นทางเลือกที่ง่ายมากสำหรับมิก เขาเลือกลูกที่เป็นผู้ใหญ่ซึ่งอยู่ห่างจากความไร้สาระในวงการบันเทิงของเขาที่สุด และคนที่ไม่ได้มีคนติดตามรอบตัวหรือมีภาระอะไร” แต่เพราะบุคลิกที่นิ่งสงบของเธอ เธอก็เข้ากันกับพี่น้องของเธอได้ดีและยังสนิทกับ เจด แจ็กเกอร์ (Jade Jagger) ลูกคนรองของมิกที่สุดด้วย
แม่ของคาริสสงสัยว่าสิ่งต่าง ๆ จะต่างออกไปไหมหากมิกได้เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเธอ
มาร์ชา แม่ของเธอให้เครดิตความมีเหตุผลของคาริสสำหรับการใช้ชีวิตที่มั่นคงของเธอ “ฉันไม่รู้เลยว่าสิ่งต่าง ๆ จะต่างออกไปอย่างไรถ้ามิกได้มีส่วนร่วมในชีวิตของเธอ แต่ฉันรู้ว่าอิทธิพลจากการเป็นคนดังและทั้งหมดที่ติดมากับมัน เป็นสิ่งที่ยากมาก ๆ สำหรับเด็ก ๆ” เธอเสริม ไม่ว่าอดีตจะเป็นอย่างไร มันก็ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของคาริสกับพ่อของเธอจะยิ่งแข็งแรงขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป
คุณคิดว่าพ่อสำคัญกับชีวิตเด็กมากแค่ไหน ? มาคุยเรื่องนี้ในคอมเมนต์กันเถอะ