10 เคล็ดลับผมสวยจากอดีตที่อาจจะทำให้คุณต้องขนหัวลุกกันเลยทีเดียว
ทุกวันนี้เราหาผลิตภัณฑ์ดูแลเส้นผมและย้อมสีผมที่ไม่เป็นอันตรายได้อย่างง่ายดายที่จะไม่ทำให้คุณหัวล้าน บางทีความหลากหลายและประเภทของสินค้าในอดีตอาจจะไม่ได้มีมากมายเหมือนทุกวันนี้ แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่าบรรพบุรุษของเราจะไม่สนใจเส้นผมของพวกเขา
ชีวิตสดใสได้จัดทริปประวัติศาสตร์เพื่อค้นหาว่าผู้คนในอดีตอันไกลโพ้นดูแลเส้นผมของพวกเขาอย่างไร และวิธีการบางอย่างจะทำให้เราต้องประหลาดใจสุด ๆ
พวกเธอใช้ก้อนอิฐเพื่อการเจริญเติบโตของเส้นผม
มันมีสูตรที่น่าสนใจสำหรับสินค้าเพื่อการเจริญเติบโตของเส้นผมในหนังสือที่ไม่ระบุชื่อผู้เขียนจากศตวรรษที่ 17 มันถูกทำขึ้นมาจากขี้ผึ้งสดสีเหลืองและอิฐแดงบดละเอียด ตามที่ผู้เขียนคนนี้กล่าว น้ำมันชนิดนี้ใช้ได้ผลดีสำหรับผู้ที่มีปัญหาผมร่วง
พวกเธอตกแต่งทรงผมด้วยมูลนกนางแอ่น
ผู้คนจะใช้ผลิตภัณฑ์จากธรรมชาติเท่านั้นในการทำให้ผมอยู่ทรง มีข้อมูลเกี่ยวกับองค์ประกอบของสารจัดแต่งทรงผมจากยุคเรอเนซองส์ตอนต้น ตามสูตรของบรรพบุรุษของเรามีการตกแต่งทรงผมด้วยการใช้มูลนกนางแอ่นและไขกิ้งก่า
พวกเธอทำความสะอาดผมด้วยขี้เถ้า
ชาวพื้นเมืองในเกาะชวาของอินโดนีเซียในสมัยโบราณจะเผาต้นข้าวแห้งและแช่ขี้เถ้าไว้ในน้ำเป็นเวลาข้ามคืน หลังจากนั้นพวกเขาจะล้างผมด้วยสารละลายนี้และจึงเสร็จสิ้นขั้นตอนความงามด้วยการปรับสภาพโดยการใช้น้ำมันมะพร้าวทาที่เส้นผม
พวกเธอต้องสวมหมวกคลุมผมเพื่อป้องกันหนู
ในสมัยของเช็คสเปียร์ (Shakespeare) และพระราชินีเอลิซาเบธที่หนึ่ง (Queen Elizabeth I) ผู้หญิงจะใช้น้ำมันหมูในการเซ็ทผม เพราะเหตุนี้พวกเธอจึงต้องสวมหมวกคลุมผมตอนนอนเพื่อจะได้ช่วยป้องกันหนู เนื่องจากผลิตภัณฑ์แต่งผมชนิดนี้ดึงดูดหนูได้ดีกว่าสิ่งของอื่น ๆ
พวกเธอยอมเอาสุขภาพไปเสี่ยงในระหว่างการกำจัดขน
มีการกำจัดขนบนร่างกายในสมัยอียิปต์และจักรวรรดิโรมันโบราณ เช่น ตามตำนานกล่าวว่าคลีโอพัตรา (Cleopatra) ก็มีการกำจัดขนตามร่างกายด้วยการใช้น้ำตาล แต่ก็มีการใช้วิธีอื่น ๆ เช่นกันซึ่งมีความปลอดภัยที่น้อยกว่าการใช้น้ำตาล
เป็นเวลาหลายศตวรรษแล้วที่มีการใช้แร่ธาตุชนิดพิเศษที่เรียกว่าออร์พิเมนท์ ซึ่งจริง ๆ แล้วมันคือสารหนูซัลไฟด์ซึ่งถูกนำมาใช้ในการกำจัดขน เมื่อทาลงบนผิวหนังที่ได้รับความเสียหาย สารชนิดนี้อาจทำให้เกิดพิษได้
ช่างตัดผมจะใส่นิ้วของพวกเขาเข้าไปในปากของลูกค้า
มันดูเป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้เลยในการกำจัดขนบนใบหน้าด้วยตัวเองก่อนที่จะมีการประดิษฐ์ใบมีดที่ปลอดภัย ในขณะที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ตัดผม แก้มของผู้ชายจะป่อง ดังนั้นผิวบนใบหน้าของพวกเขาจะยืดออกและความเสี่ยงที่จะถูกใบมีดคม ๆ บาดก็จะลดลงมาก
ในศตวรรษที่ 19 ช่างตัดผมชาวอเมริกันจะใส่นิ้วของพวกเขาเข้าไปในปากของลูกค้าในขณะโกนหนวด มันช่วยยืดและกางผิวออกได้ และเข้าถึงบริเวณใบหน้าที่เข้าถึงได้ยากที่สุดโดยที่ไม่ต้องกลัวว่าจะเป็นอันตรายต่อลูกค้า มาร์ค ทเวน (Mark Twain) อธิบายถึงขั้นตอนนี้ในเรื่องราวของเขาว่า “ตอนนี้เขาเอานิ้วใส่เข้ามาในปากของผมเพื่อช่วยในการโกนหนวดบริเวณมุมริมฝีปากด้านบน และด้วยหลักฐานตามสถานการณ์นี้เองที่ผมพบว่าหน้าที่อีกหนึ่งอย่างของเขาในร้านก็คือการทำความสะอาดตะเกียงน้ำมันก๊าด”
พวกเธอสระผมปีละครั้ง
บรรพบุรุษของเราไม่คิดว่าการแช่ตัวในน้ำนั้นดีต่อสุขภาพ การอาบน้ำในที่ที่มีอากาศเย็นมีความเสี่ยงที่จะทำให้ป่วยได้ ดังนั้นบางคนจึงสระผมปีละครั้ง เช่น จอห์น อีฟลิน (John Evelyn) นักเขียนชาวอังกฤษจากศตวรรษที่ 17 สารภาพว่าเขาสระผมปีละครั้งโดยการใช้น้ำอุ่นและยาต้มสมุนไพรอโรม่า
เป็นที่ทราบกันดีว่าในศตวรรษที่ 19 มีการให้ความสนใจกับการสระผมมากขึ้น ใน “คู่มือฉบับสมบูรณ์เกี่ยวกับศิลปะการแต่งตัว” ที่ออกมาในปี 1830 ผู้เขียนแนะนำให้สุภาพบุรุษตัดผมเดือนละครั้งและสระผมสองครั้งในฤดูร้อนและหนึ่งครั้งในฤดูหนาว
พวกเธอใช้การหวีผมแทนการสระผม
ที่อังกฤษในช่วงต้นของศตวรรษที่ 17 ผู้หญิงจะถูศีรษะของพวกเธอด้วยผ้าลินินเพื่อทำความสะอาดเส้นผม หลังจากนั้นก็จะพาดผ้าสำหรับหวีผมแบบพิเศษเพื่อป้องกันเสื้อผ้าจากสิ่งสกปรก แล้วก็จะเริ่มหวีผม
หวีเป็นอุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ได้หลายอย่าง มันช่วยกำจัดสิ่งสกปรก, เหาและรังแคในเส้นผมได้ และมันก็ยังช่วยดูแลศีรษะและจัดแต่งทรงผม
ตลาดสำหรับหวีนั้นกว้างใหญ่และหลากหลายมาก มันมีทั้งหวีไม้และหวีที่ทำมาจากกระดูก, เขาสัตว์และกระดองเต่าในท้องตลาด เป็นที่น่าสังเกตว่าหวีได้รับการดูแลเป็นอย่างดี เพราะมันไม่ได้มีราคาถูกหรือซื้อหามาได้อย่างง่ายดายนัก มันจะถูกเก็บไว้ในกล่องที่ออกแบบมาเป็นพิเศษ
พวกเธอกำจัดรังแคและโรคประสาทด้วยแปรง
ในช่วงท้ายของศตวรรษที่ 19 แปรงไฟฟ้าสำหรับเส้นผมถูกประดิษฐ์ขึ้นโดยด็อกเตอร์สก็อต (Dr. Scott) และวางขายในอังกฤษ อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่แปรงไฟฟ้าซะทีเดียว มันถูกเรียกแบบนี้เพราะมีการใช้แท่งเหล็กเป็นองค์ประกอบ อย่างไรก็ตาม ผลิตภัณฑ์นี้ถูกมองว่าเป็นยาครอบจักรวาล โฆษณาอ้างว่าแปรงชนิดนี้กำจัดรังแค, หยุดผมหงอก, ทำให้สมองสงบ และช่วยรักษาอาการปวดหัวและโรคประสาทได้ใน 5 นาที
พวกเธอม้วนผมด้วยตะไบเหล็ก
ผู้คนพยายามทำให้ผมหยิกทั้งการใช้สารเคมีและการใช้อุปกรณ์ ในหนังสือที่เขียนด้วยลายมือโดยบริดเจ็ต ไฮด์ (Bridgette Hyde) มีตัวอย่างของผลิตภัณฑ์ที่ทำมาจากธูปและน้ำค้าง ในขณะที่หนังสือโดยชาวบอยส์ถูกบอกว่าให้ทำผมให้เปียกด้วยสารละลายนี้ก่อนแล้วจึงม้วนผม
ในศตวรรษที่ 17 ในประเทศอังกฤษ ผมได้รับการดูแลด้วยการแช่สมุนไพรที่เป็นเอกลักษณ์มาก ๆ หนึ่งในส่วนผสมของมันก็คือตะไบเหล็ก มันจะถูกแช่ไว้หนึ่งวันพร้อมกับสมุนไพร, เมล็ดมะตูมและใบไซเพรส ในการเตรียมผลิตภัณฑ์นี้พวกเขาจะใช้น้ำที่ถูกต้มกับข้าวไรย์มาก่อน หลังจากนั้นพวกเขาก็จะต้มส่วนผสมจนกระทั่งมันข้นเหมือนกับน้ำผึ้ง ผมถูกเปลี่ยนแปลงด้วยผลิตภัณฑ์สำเร็จรูปและม้วนข้ามคืนด้วยการใช้วิธีที่พวกเขาสะดวก
ประมาณ 100 ปีต่อมา ผู้คนเริ่มใช้กระบวนการที่อ่อนโยนมากขึ้น เป็นที่ทราบกันดีว่าเพื่อนคนหนึ่งของลอร์ด ไบรอน (Lord Byron) เห็นว่ามีกระดาษวางอยู่บนหัวของลอร์ดไบรอนในระหว่างเรียนที่เคมบริดจ์ เพื่อนของกวีคนนี้รู้สึกประหลาดใจ เพราะเขาคิดว่าผมของไบรอนหยิกตามธรรมชาติ
คุณใช้วิธีไหนในการดูแลเส้นผมของคุณ ? วิธีการในปัจจุบันแบบไหนบ้างที่คุณอยากจะแนะนำกับคนอื่น ?