ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

12 ข้อเท็จจริงของหนัง “แวมไพร์ ทไวไลท์” ที่จะทำให้คุณอยากสำรวจเมืองฟอร์คอีกครั้ง

ไม่ว่าคุณจะเป็นทีมเอ็ดเวิร์ด (Edward) หรือทีมเจคอบ (Jacob) ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่คุณจะไม่คิดถึงความตื่นเต้นในตอนที่ดูหนังภาคใหม่ของ แวมไพร์ ทไวไลท์ (Twilight) แม้ว่าจะดูเหมือนกับแฟน ๆ ของหนังเรื่องนี้ได้เลือนหายไปตามกาลเวลา แต่ทุกวันที่มีเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยใหม่ ๆ จากเบื้องหลังของหนังเรื่องนี้ ก็ทำให้เราอยากกลับไปสู่โลกที่ซ่อนตัวอย่างเมืองฟอร์ค (Forks) ที่เรานั้นหลงรักอย่างไร้เงื่อนไขและไม่สามารถถอนตัวได้เลย

1. เทย์เลอร์ เลาต์เนอร์เกือบจะถูกไล่ออก

ทีมเจคอบเกือบจะได้เซอร์ไพรส์ในหนังภาคสองของนิยายเรื่องนี้ นับได้ว่าเป็นเรื่องยากที่จะจินตนาการออกว่าตัวละครเจคอบ แบล็ค (Jacob Black) จะถูกเล่นโดยคนอื่น เนื่องจากโปรดิวเซอร์ไม่แน่ใจว่าหนุ่มเทย์เลอร์ (Taylor) จะกลายเป็นมนุษย์หมาป่ากล้ามโตอย่างที่พวกเขาต้องการในหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ 2 นิวมูน (New Moon) ได้หรือไม่ อีกทั้งยังถึงขั้นพูดถึงกันว่าไมเคิล โคพอน (Michael Copon) คือหนึ่งในนักแสดงที่ผู้กำกับพิจารณาให้เป็นตัวแสดงแทน

นับว่าโชคดีที่เทย์เลอร์ได้ฟิตหุ่นและมีการควบคุมอาหารที่ดี จึงพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาสามารถเป็นหมาป่าได้ตรงตามหนังสือดังที่ให้สัญญาไว้กับเรา

2. แอชลีย์ กรีนต้องการเป็นนางเอก

แอชลีย์ (Ashley) ได้เล่นเป็นแวมไพร์เพื่อนซี้ในแบบที่เราอยากจะมีบ้าง แต่ก่อนที่บทนี้จะลงตัว นักแสดงสาวได้มาออดิชั่นเพื่อรับบทเป็นเบลล่า สวอน (Bella Swan) และแม้ว่าเธอจะรู้สึกแย่ในตอนนั้นที่ไม่ได้รับบทนำ แต่ภายหลังเธอก็ถูกเรียกให้กลับไปออดิชั่นเพื่อรับบทเป็นอลิซ (Alice)

“ฉันดีใจที่ไม่ได้บทนั้น ฉันแค่ไม่พร้อมสำหรับมัน” นักแสดงสาวยังกล่าวอีกว่า “ฉันเชื่อมั่นอย่างยิ่งว่าทุกอย่างเกิดขึ้นในเวลาที่เหมาะสมและเป็นในแบบที่มันควรจะเกิด”

3. โรเบิร์ต แพททินสันคิดว่าแวมไพร์ในเรื่อง แวมไพร์ ทไวไลท์ นั้นอ่อนแอ

เคยสงสัยกันมั้ยว่าทำไมแวมไพร์ถึงอยากเป็น “มังสวิรัติ” ? โรเบิร์ต แพททินสัน (Robert Pattinson) ก็สงสัยเช่นกัน โดยปีเตอร์ ฟาซิเนลลี่ (Peter Facinelli) ที่รู้จักกันดีในบทคาร์ไลล์ (Carlisle) ได้เล่าว่าหนุ่มโรเบิร์ตพูดกับเขาว่ามันดูไร้สาระที่แวมไพร์ในเรื่องนี้ไม่ได้กินเลือดจากคน แถมยังรู้สึกว่ามันทำให้พวกเขาดูอ่อนแอ

จากเรื่องนี้ทำให้ปีเตอร์ได้เขียนข้อความถึงเขา โดยพูดจากมุมมองของคาร์ไลล์ เขากล่าวว่า “มันอาจจะดูอ่อนแอที่ไม่ต้องการกินเลือดคน แต่ให้ลองนึกภาพสิงโตที่เลือกที่จะไม่ล่าเหยื่อของมัน นั่นจะต้องใช้ทั้งความแข็งแกร่งและความกล้าหาญเป็นอย่างมากเลยล่ะ”

4. เคลแลน ลุตซ์ไม่รู้ว่าหนังเรื่องนี้สร้างมาจากหนังสือ

บางทีอาจดูเหมือนว่าการอ่านหนังสือนิยายคือส่วนหนึ่งของขั้นตอนเตรียมตัวของนักแสดง แต่ทว่าเคลแลน ลุตซ์ (Kellan Lutz) กลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเรื่อง แวมไพร์ ทไวไลท์ ถูกดัดแปลงมาจากนวนิยายของสตีเฟนี่ เมเยอร์ (Stephenie Meyer)

เมื่อแอชลีย์ กรีนถามเขาว่าได้อ่านหนังสือเรื่องนี้หรือยัง เคลแลนก็ตอบไปว่า “ฮ่าฮ่า เธอล้อเล่นหรือเปล่า ไม่มีหนังสือนะ” ดังนั้นเธอจึงให้เขายืมหนังสือ

5. บิลลี่ เบิร์กไม่ได้อ่านนิยายด้วยซ้ำ

นักแสดงหนุ่มบิลลี่ เบิร์ก (Billy Burke) ปฏิเสธที่จะอ่านนิยายเรื่องนี้ตรง ๆ เพราะเขาคิดว่ามันเป็นการดีที่สุดที่เขาจะไม่รู้ว่าโครงเรื่องจะเป็นไปในทิศทางใด โดยหลังจากที่อ่านบท บิลลี่ก็สังเกตเห็นว่าตัวละครชาร์ลี สวอน (Charlie Swan) ได้ลืมไปเลยว่าเกิดอะไรขึ้นรอบตัวเขา ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจว่าเขาไม่ควรมีข้อมูลมากไปกว่าตัวละคร อีกทั้งเขายังบอกด้วยว่าเป็นเรื่องยากสำหรับเขาในการนั่งอ่านหนังสือ

6. สำหรับนิกกี้ รี้ด การเล่นเป็นโรซาลีนั้นน่ากลัว

ตัวละครโรซาลี่ (Rosalie) ในนวนิยายเรื่องนี้ถูกอธิบายว่าเป็นคนที่สวยที่สุดในโลก จึงไม่แปลกที่สิ่งนี้กดดันให้นักแสดงสาวมีภาพลักษณ์ที่พิเศษ โดยนิกกี้ รี้ด (Nikki Reed) กล่าวว่าเธอทราบดีว่าทุกคนมีความคิดเกี่ยวกับโรซาลี่ที่แตกต่างกันไป เนื่องจากความงามเป็นเรื่องส่วนบุคคล และแน่นอนว่าไม่มีใครสามารถเติมเต็มความรู้สึกเหล่านั้นได้

ในหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ ภาค 3 อีคลิปส์ (Eclipse) เธอต้องปรากฏตัวในฉากที่อธิบายถึงที่มาของตัวละครโรซาลี่ พร้อมกับเรื่องราวที่ว่าเธอได้กลายมาเป็นแวมไพร์ได้อย่างไร เธอบอกว่านั่นทำให้เธอประหม่ามาก ๆ โดยเธอได้กล่าวในตอนที่หนังเรื่องนี้ออกฉายว่า “ฉันคิดว่าโรซาลี่มีเบื้องหลังที่มืดมนและน่าทึ่งมาก แล้วสตีเฟนี่ก็ให้งานยากกับฉัน ซึ่งฉันก็รู้ว่าแฟน ๆ ต่างคาดหวัง”

7. เคลแลน ลุตซ์ปฏิเสธบทเอ็ดเวิร์ด

ในหนังสือ ตัวละครเอ็มเม็ตต์ (Emmett) มีกล้ามโตจนดูเหมือนกับนักยกน้ำหนัก ดังนั้นการเลือกเคลแลนจึงดูเหมาะสม แต่ทว่านั่นไม่ใช่แผนเดิมแต่แรก เพราะอันที่จริงแล้วเขาถูกพิจารณาให้รับบทเป็นเอ็ดเวิร์ด แต่เขาพบว่าเขาอยากเป็นตัวละครที่เจ้าอารมณ์และมีความท้าทายในเรื่องอารมณ์ความรู้สึก

นักแสดงหนุ่มอ้างว่าเมื่ออ่านบทหนังแล้ว เขาชอบตัวละครเอ็มเมตต์ คัลเลน (Emmett Cullen) โดยเขาได้กล่าวว่า “ผมตั้งตารอที่จะได้เล่นบทที่มีความสุข หรือไม่ก็ไม่รับบทไปซักพัก”

8. ไมเคิล เวลช์ไม่ได้วางแผนที่จะเล่นเป็นไมค์

นักแสดงหนุ่มอีกคนที่ลงเอยด้วยบทที่ต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิงก็คือไมเคิล เวลช์ (Michael Welch) โดยครั้งแรกเขาพยายามที่จะเป็นแวมไพร์ในตอนที่ไปออดิชั่นในบทเอ็ดเวิร์ด แม้ว่าจะมีการพิจารณาคัดเลือกคนมากกว่า 5,000 คนที่พยายามมาเป็นหนุ่มหล่อในหนัง แล้วบางทีก็เป็นที่คาดเดาได้ว่าโอกาสไม่ได้เข้าข้างเขา

จากนั้นเขาก็ได้ลองรับบทเป็นอีริค ยอร์คกี้ (Eric Yorkie) โดยไมเคิลกล่าวว่าจริง ๆ แล้วเขาได้ไปออดิชั่นเป็นตัวละครเกือบทุกตัว จนกระทั่งในที่สุดเขาก็ได้รับการเสนอบทให้แสดงเป็นไมค์ นิวตัน (Mike Newton)

9. ปีเตอร์ ฟาซิเนลลี่เกือบจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของหนังแฟรนไชส์

แม้ว่าปีเตอร์ ฟาซิเนลลี่จะได้เล่นเป็นคาร์ไลล์ที่น่ารัก แต่แผนเบื้องต้นคือการจ้างนักแสดงที่มีอายุมากกว่ามารับบทนี้ หลังจากที่เขาไม่ได้รับบทในหนัง นักแสดงหนุ่มกล่าวว่าเขาเจอหนังสือเรื่อง “50 ปีแห่งการสร้างแวมไพร์ในฮอลลีวูด” และเขาได้ตัดสินใจส่งให้กับผู้กำกับพร้อมกล่าวว่า “ผมเสียใจที่ไม่ได้รับบท แต่ผมก็หวังว่าเราจะสามารถร่วมงานกันในหนังเรื่องอื่นได้ แล้วก็หวังว่าหนังสือเล่มนี้จะเป็นแรงบันดาลใจให้คุณในการสร้างหนังแวมไพร์ที่ยอดเยี่ยม”

วันที่ผู้กำกับได้รับของขวัญ นักแสดงหนุ่มที่ได้รับเลือกให้เล่นเป็นคาร์ไลล์กลับปฏิเสธบทนี้ไป ดังนั้นเธอจึงตัดสินใจให้โอกาสปีเตอร์ แล้วนั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาพูดติดตลกว่าเขาซื้อบทนี้มาในราคา ฿1,107

10. คริสเต็น สจ๊วตไม่คิดว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จ

แม้ว่าคริสเต็น (Kristen) จะเป็นนักแสดงที่มีประสบการณ์อยู่แล้วในตอนที่เธอได้รับบทเป็นเบลล่า สวอน (Bella Swan) แต่เธอก็ไม่ได้คาดหวังว่าตัวละครตัวนี้จะเป็นตัวละครที่ทำให้เธอโด่งดัง อีกทั้งเธอไม่ได้คาดหวังว่าหนังเรื่องนี้จะประสบความสำเร็จและจะไม่มีภาคต่อหลังจากภาคแรก เพราะในตอนที่พวกเขาถ่ายทำหนัง แวมไพร์ ทไวไลท์ งบประมาณในการสร้างหนังมีเพียงเล็กน้อย แล้วก็ถูกจัดเป็นภาพยนตร์อิสระ นั่นจึงเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมนักแสดงสาวถึงมีความคาดหวังต่ำ

11. นิกกี้ รี้ดได้โน้มน้าวให้โปรดิวเซอร์ใช้เพลงของโรเบิร์ต แพททินสันในหนังภาคแรก

เราได้เห็นเอ็ดเวิร์ดเล่นเพลง เบลล่า ลัลลาบาย (Bella’s Lullaby) ในหนังเรื่องแรก แต่ทุกคนไม่รู้หรอกว่าโรเบิร์ตได้เล่นเพลงนี้ในฉากนั้นจริง ๆ เพราะเขาเป็นนักดนตรีชั้นยอด โดยระหว่างพักกอง โรเบิร์ตจะเล่นกีตาร์และร้องเพลง ดังนั้นนิกกี้ รี้ด คู่หูของเขาจึงได้ตัดสินใจแอบบันทึกวีดีโอ เพื่อโชว์ให้โปรดิวเซอร์ที่หลงรักเพลงเหล่านั้นได้ดู แล้วด้วยเหตุนี้เองพวกเขาจึงเพิ่มบางส่วนลงในเพลงประกอบภาพยนตร์

12. แจ็คสัน แรธโบนต้องเรียนรู้การใช้มือซ้ายของตัวเอง

สำหรับฉากอันน่าจดจำของเหล่าคัลเลน (Cullen) เล่นเบสบอลไปตามจังหวะเพลง ซูเปอร์แมสซีฟ แบล็ค โฮ (Supermassive Black Hole) ของวงมิวส์ (Muse) ที่เบลล่าได้เจอกับวิคตอเรีย (Victoria) เป็นครั้งแรก นั่นคือตอนที่แจ็คสัน แรธโบน (Jackson Rathbone) ต้องเรียนรู้ที่จะเล่นเบสบอลด้วยมือซ้าย นักแสดงหนุ่มอ้างว่าเขาพยายามทำทุกอย่างด้วยมือข้างนั้นเป็นเวลานานหนึ่งสัปดาห์เพื่อฝึกฝนตัวเอง โดยเขากล่าวว่า “มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเขียนหนังสือลงในสมุดแบบสันเกลียว เพราะตัวสปริงเกะกะ [...] ผมเคารพคนที่ถนัดซ้ายเป็นอย่างมากเลยล่ะ”

แล้วคุณล่ะ คุณคือทีมเอ็ดเวิร์ดหรือทีมเจคอบ ? แล้วคุณชอบอะไรมากที่สุดเกี่ยวกับเรื่องราวความรักนี้ บอกพวกเราได้เลยนะ

แชร์บทความนี้