ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

19 ธรรมเนียมในงานแต่งงานที่หนุ่มสาวทั่วโลกเริ่มที่จะบอกลาบ๊ายบาย แล้วคุณล่ะ มีธรรมเนียมในงานแต่งอะไรบ้างที่คุณก็ไม่อยากทำเหมือนกัน

ธรรมเนียมในงานแต่งงานส่วนใหญ่นั้นเป็นสิ่งที่ยึดถือปฏิบัติกันมาอย่างยาวนานตั้งแต่ในอดีต และถึงแม้ในโลกยุคปัจจุบันที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว ก็ยังมีผู้คนที่ยังภักดีต่อธรรมเนียมปฏิบัติเหล่านี้อยู่ บ่อยครั้งที่ผู้คนแทบจะไม่เข้าใจหรือจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าธรรมเนียมเหล่านี้จริง ๆ นั้นมันมีความหมายว่าอย่างไร แต่ก็ยังคงทำตามกันไปถึงแม้ความหมายดั้งเดิมเหล่านั้นจะเลือนหายไปในประวัติศาสตร์แล้วก็ตาม

ชีวิตสดใสจึงพยายามที่จะหาคำตอบถึงทัศนคติของผู้คนทั่วโลกในยุคปัจจุบัน เกี่ยวกับธรรมเนียมในงานแต่งงานดั้งเดิมของพวกเขา

  • เห็นได้ชัดว่าในบ้านเกิดที่ชนบทของคู่หมั้นผม พวกเขามักจะทำสิ่งที่เรียกว่าการเต้นรำรางหมู (hog trough dance)... นั่นก็คือ หากน้องของคุณแต่งงานก่อนพี่ คนพี่จะต้องไปเต้นรอบรางหมูในงานแต่งงาน ซึ่งแขกเหรื่อก็จะโยนเงินลงไปในรางนั้น ซึ่งเรื่องนี้มันทั้งพิศดารและน่าอายสำหรับผม ผมไม่มีทางจะให้พี่ชายผมต้องไปเต้นรำแบบนั้นในงานแต่งงานของเราเด็ดขาด ! © ChampionOfTheSunn / Reddit
  • ที่เดนมาร์ก แขกเหรื่อจะเริ่มเคาะแก้วเพื่อให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวลุกขึ้นยืนจูบกันบนเก้าอี้ และหากแขกเริ่มที่จะกระทืบเท้า เจ้าบ่าวเจ้าสาวก็จะต้องมุดลงไปใต้โต๊ะเพื่อจูบกันที่นั่น ตอนแรกฉันพบว่ามันน่ารำคาญและรู้สึกไม่ดีเลย แต่ตอนนี้ฉันเริ่มชินแล้วแหละ © Halefa / Reddit
  • ว่ากันว่าหากเจ้าสาวใช้เครื่องประดับที่เป็นไข่มุกจะนำพาโชคร้ายหรือลางร้ายมาให้ ฉันจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่า “เหตุผล” ที่แท้จริงคืออะไร แต่ฉันไม่สนใจเรื่องนี้แม้แต่น้อย ! ฉันรักชุดไข่มุกของฉันและเครื่องประดับส่วนมากของฉันก็มีไข่มุกประดับอยู่เกือบทุกชิ้นเลย ! © meganthemuggle / Reddit
  • เป็นธรรมเนียมไปแล้วว่าแขกเหรื่อทุกคนต้องยืนขึ้นเมื่อเจ้าสาวเดินออกมา ส่วนตัวแล้วฉันไม่เคยชอบเรื่องนี้เลย ฉันเลยตัดสินใจให้ผู้ประกอบพิธีในงานบอกให้ทุกคนนั่งอยู่เฉย ๆ ตอนที่ฉันเดินออกมาก่อนเริ่มตั้งแถว มีบางคนขณะที่เราทำการซ้อมกันคืนก่อนหน้านั้นแอบคิดด้วยว่าฉันบ้าไปแล้ว (บางคนถึงขนาดพยายามเอาชนะคะคานเลยนะ) พวกเขายืนกรานว่าพวกเขาไม่สามารถทำตัวขัดกับธรรมเนียมได้ คนพวกนั้นต้องสับสนแน่เมื่อถึงเวลาจริงและก็ยังไงก็คงจะยืนขึ้นอยู่ดี ฉันซึ่งเป็นคนง่าย ๆ อยู่แล้วก็เลยตอบไปว่า “ถ้างั้นก็ก็ปล่อยให้พวกเขายืนไปเถอะ” แล้วแต่เลย ยังไงก็ไม่ทำให้วันดี ๆ ของฉันเสียหายอะไรตรงไหนอยู่แล้ว ! แต่ท้ายที่สุดก็ไม่มีใครยืนขึ้นนะ ทุกคนยังนั่งอยู่กับที่ และช่างภาพของฉันก็ถ่ายรูปดี ๆ ไว้ได้มากมายตอนที่พ่อของฉันเดินตามทางเดินมาหาฉัน ! © Kelly Bailey / Quora
  • ในเชิงสัญลักษณ์แล้ว การที่คู่บ่าวสาวป้อนเค้กกันและกันบ่งบอกว่าคุณจะดูแลกันและกันเมื่อยามป่วยไข้หรือยามที่อีกฝ่ายต้องตกอยู่ในความยากลำบากหรือทุกข์ใจ แต่เรื่องแย่ ๆ เรื่องยากลำบากต่าง ๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตแต่งงานก็ถูกรวบรวมอยู่ในคำปฏิญาณอยู่แล้ว งานเลี้ยงแต่งงานควรเป็นงานเฉลิมฉลองความมีสุขภาพดี มีความสุขและฉลองแต่เรื่องดี ๆ ในชีวิตสิ ดังนั้นก็เข้าใจได้หากผู้คนอยากจะเล่นสนุกกัน อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางครั้งที่ธรรมเนียมการกินเค้กกลายเป็นเรื่องจริงจังราวกับเป็นพิธีทางศาสนาในงานแต่งงานเสียอย่างนั้น ราวกับว่ามันจะช่วยรับรองคำปฏิญาณของคนสองคนได้ ซึ่งสามีฉันก็ไม่ใช่คนที่ชอบละเลงเค้กอะไรอยู่แล้ว แต่ฉันก็บอกเขาไว้ก่อนงานแต่งงานแล้วนะว่าถ้าจงใจเอาไอซิ่งน้ำตาลบนเค้กมาแตะลงบนจมูกฉันแม้แต่นิดเดียว นั่นเท่ากับว่าเขาทำลายพันธสัญญาของการแต่งงานด้วยตัวเขาเอง และฉันจะยื่นใบหย่าในวันต่อไปทันที ฉันเชื่อนะว่าสัญลักษณ์เหล่านี้ต้องมีเหตุผลที่มา แต่ถ้ามันควรค่าแก่การเก็บรักษาไว้ มันก็ควรค่าให้ปฏิบัติตาม เราสามารถป้อนเค้กให้กันและกันด้วยความรักและความเคารพในตัวกันและกันได้ ฉันเชื่อว่าสำหรับเราแล้วแค่นั้นก็เป็นเป็นการรับรองคำปฏิญาณของเราได้อย่างเหนียวแน่นแล้ว แต่ใช่ ฉันจริงจัง 100% ว่าฉันจะยื่นใบหย่าวันต่อไปแน่ แต่ฉันก็แน่ใจ 99% เช่นกันว่าฉันไม่ต้องทำอย่างนั้น © Tamara Castleman / Quora
  • ฉันรักการเต้นมากและฉันก็ชอบงานแต่งงานที่มีงานเต้นรำอยู่ในนั้นด้วย แต่ฉันก็เคยไปอยู่ในงานแต่งงานที่มีเพียงคนกลุ่มเล็ก ๆ เท่านั้นที่เต้น ในขณะที่แขกเหรื่อที่เหลือนั่งอยู่กับโต๊ะ รอจนกว่าจะถึงเวลาเหมาะ ๆ ให้พวกเขากลับบ้านได้ แขกเหล่านั้นไม่สามารถคุยกันได้ด้วยซ้ำเพราะเสียงเพลงจากดีเจดังมาก ดังนั้นหากพวกเขาไม่มีอารมณ์ที่จะเต้นรำ พวกเขาก็ต้องนั่งเฉย ๆ เท่านั้น ฉันไม่ได้ต่อต้านการเต้นรำอะไรนะ แต่นั่นไม่ใช่รูปแบบที่เราจะจัดเท่านั้น ฉันอยากให้มันเป็นงานปาร์ตี้ในค่ำคืนฤดูร้อนที่เรียบง่ายและเงียบสงบ ที่ผู้คนสามารถมาพบปะพูดคุยกลมกลืนกันได้ขณะที่รับประทานอาหารค่ำไปด้วย เรามีเมนูโลว์ คันทรี บอยล์ (low-country boil) (หรืออาหารทะเลที่คล้าย ๆ กุ้งถังแต่เป็นอาหารทะเลและผักมากองรวม ๆ กันบนโต๊ะ) ซึ่งเราจะมีโต๊ะหอยนางรมไว้ยืนกินได้ (มีโต๊ะให้นั่งด้วยสำหรับคนที่อยากนั่งลงมากกว่า) คนในงานสามารถเดินไปรอบ ๆ งานเพื่อพูดคุยและเล่นเกมในสนามหญ้าแทนที่จะเปิดฟลอร์เต้นรำ มันสนุกมากเลย ! เรามีนักกีตาร์มาเล่นดนตรีคลอเบา ๆ ด้วยนะ © Kelly Bailey / Quora
  • ในประเทศมอลโดวา มีธรรมเนียมที่จะต้องเตรียมปอเปี๊ยะกะหล่ำปลี (อาหารว่างประจำชาติ) ไว้รับรองแขก แต่ฉันจัดงานแต่งงานสไตล์ฮอลลีวูด ก็เลยไม่มีที่เอาไว้สำหรับการเสิร์ฟปอเปี๊ยะกะหล่ำปลีแต่อย่างใด ฉันแทนที่เมนูนั้นด้วยแซลมอนแทน เพื่อนฉันคนนึงเดินเข้ามาบอกว่า “ว้าว ! เจ๋งมากเลย ! ไม่มีปอเปี๊ยะกะหล่ำปลีด้วย ! ฉันอิจฉามาก !” แต่ญาติ ๆ ฉันกลับพูดว่างานแต่งงานดีมากนะ แต่ไม่มีปอเปี๊ยะกะหล่ำปลีซะนี่
  • ชุดแต่งงานสีขาวเหรอ ฉันเกลียดชุดสีขาวด้วย 2 เหตุผลหลัก ๆ หนึ่ง มันน่าเบื่อจะตาย และสองฉันใส่แล้วมันจะดูแย่มาก สีนี้ไม่เหมาะกับฉันเลยแม้แต่น้อย ซึ่งชุดแต่งงานส่วนมากก็พากันเป็นแบบนั้นไปหมดถึงจะเป็นชุดแต่งงานได้ แถมคุณยังต้องจ่ายเงินจำนวนมากจนน่าขันสำหรับชุดเดรสที่คุณอาจจะได้ใส่เพียงแค่ครั้งเดียวในชีวิตเนี่ยนะ ฉันจะเลือกสวมชุดสีกรมท่าหรือสีม่วงเข้มยังดีเสียกว่า ดูน่าสนใจกว่าเยอะเลยในความคิดฉันนะ แถมยังเอาไปใส่ในงานอื่น ๆ ในอนาคตได้อีกด้วย © Lea Sing / Quora
  • แต่งชุดเป็นทางการมาร่วมงานงั้นเหรอ เอาจริง ๆ นะ ฉันไม่สนใจเรื่องนี้เลย ในงานของฉัน ฉันจะให้ทุกคนใส่อะไรมาก็ได้ที่อยากใส่ ขอแค่ใส่เสื้อผ้ามาก็พอ แค่นี้ก็พอแล้วสำหรับฉัน © Lea Sing / Quora
  • ผ้าคลุมหน้าน่ะเหรอ คือ...ทำไมต้องมีด้วยอ่ะ ? มันดูน่าเกลียดแถมยังบังผมเจ้าสาวอีก © Lea Sing / Quora
  • สามีของฉันเป็นคนอินเดีย ฉันจึงต้องเรียนรู้ประเพณีของพวกเขาในตอนที่เรากำลังเตรียมจัดงานแต่งงานกัน ซึ่งมีธรรมเนียมที่พี่สาวน้องสาวของเจ้าสาวจะต้องขโมยรองเท้าเจ้าบ่าว และห้ามคืนให้เด็ดขาดถ้าเจ้าบ่าวไม่ให้เงินมา ซึ่งอาจลงท้ายที่ต้องเสียเงินหลายพันเลยทีเดียว ! ลูกพี่ลูกน้องฉันบอกว่าเขาจะเอารองเท้าของสามีฉันไปซ่อน แต่สามีฉันบอกพวกเขาว่าเขายอมเดินเท้าเปล่าดีกว่าต้องเสียเงินให้ จบนะ © b-m**f / Reddit
  • ฉันเกลียดสิ่งที่เรียกว่า “ประเพณี” ที่เจ้าบ่าวต้องถอดสายรัดต้นขาเจ้าสาวและโยนให้เพื่อนเจ้าบ่าว ใครที่รับได้จะต้องสวมมันไว้บนต้นขาของผู้หญิงที่กำลังตกใจที่รับช่อดอกไม้เจ้าสาวได้ ทำไมต้องทำอย่างนั้นด้วย ? สายรัดต้นขาก็เป็นชุดชั้นในอย่างหนึ่งนะ การจะมาถอดชุดชั้นในของเจ้าสาวก็ควรทำกันเป็นส่วนตัวหลังงานแต่งงานเสร็จสิ้นแล้วไหมอ่ะ © Jennifer Georgia / Quora
  • การส่งตัวเจ้าสาวของคนเป็นพ่อ ฉันเกลียดธรรมเนียมนี้เพราะความหมายดั้งเดิมของมัน ธรรมเนียมนี้มีต้นกำเนิดมาตั้งแต่ตอนที่ผู้หญิงได้รับการปฏิบัติ “เป็นสิ่งของ” มาตลอดชีวิต โดยธรรมเนียมนี้หมายความว่าพ่อกำลังส่งต่อลูกสาว (ที่เป็น “สิ่งของ” ของเขา) ให้กับสามีของเธอ มันแย่มากเลย ไม่ล่ะ ขอบใจ © Lea Sing / Quora
  • ภรรยาผมคัดค้านธรรมเนียม “คุณสามารถจูบเจ้าสาวได้” หลังจากมีการประกาศว่าเราได้แต่งงานกันอย่างเป็นทางการแล้ว เพราะเธอขอให้สงวนเรื่องนี้ไว้จะดีกว่า ส่วนในงานแต่งงาน ก็ไม่มีการเปิดฟลอร์ (จริง ๆ แล้วคือไม่มีการเต้นรำใด ๆ แม้แต่น้อย เพราะทุกคนอยากนั่งลงพูดคุยกันมากกว่า เลยไม่มีเหตุผลที่จะต้องเล่นดนตรีใด ๆ ) และแน่นอนว่าต้องไม่มีธรรมเนียมโง่ ๆ อย่าง “การเอาเค้กมาละเลงหน้ากัน” นั่นด้วย เราใช้เงินก้อนใหญ่ไปกับการสั่งทำเค้กดี ๆ เพราะเราต้องการให้คนอื่น ๆ ได้กินมันจริง ๆ © Harry Kriewaldt / Quora
  • หนึ่งในข้อห้ามสำหรับการแต่งงานของฉันอยู่ในคำปฏิญาณนั่นแหละ ฉันทำให้แน่ใจว่าประโยคที่ว่า “จะรัก ซื่อสัตย์ และเชื่อฟัง” จะต้องไม่มีวันหลุดออกมา ฉันรู้ว่าตัวฉันเองก็เป็นคนยึดถือธรรมเนียมต่าง ๆ ในระดับหนึ่งนะ แต่ต้องเป็นกับบทบาทที่ฉันเลือกเองที่จะทำ ไม่ใช่ถูกสั่งให้ทำเพราะเพศของฉัน ฉันรู้สึกว่ามันไม่สำคัญสักนิดที่จะต้องไปสัญญาอะไรที่ฉันไม่มีทางจะทำแค่เพียงเพื่อต้องทำตามหลักการอะไรนั่น จนแต่งงานกันมาเกือบจะ 20 ปีแล้ว บางครั้งสามีฉันยังแซวฉันอยู่เลยเมื่อไหร่ก็ตามที่เรามีความเห็นไม่ตรงกันและฉันยืนยันดื้อดึงที่จะไม่ทำตาม เขาจะพูดว่า “เฮ้ นี่คุณไม่ได้สมควรที่จะต้องรัก ซื่อสัตย์ และเชื่อฟังผมเหรอ ?!... โอ้ นั่นสินะ คุณก็บอกไปแล้วนี่นาว่าคุณจะไม่มีวัน ‘เชื่อฟัง’ ผมน่ะ ใช่ไหม !” (เขาคิดว่าเขาตลกมากอ่ะ !) © Shelia Gulledge / Quora
  • ก่อนที่เจ้าสาวจะออกจากบ้านพ่อแม่เพื่อเริ่มพิธีแต่งงาน ญาติสนิทของเจ้าสาวจะผูกริบบิ้นสีแดงไว้รอบเอวเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของพรหมจรรย์ และการที่เจ้าบ่าวเป็นคนเดียวที่จะสามารถแกะริบบิ้นนั้นออกได้ นั่นเหมือนเป็นการแสดงถึงคำสัญญาที่เธออนุญาตให้เขาสามารถเข้าถึงร่างกายของเธอได้ © Zeynep Cemre / Quora
  • สามีของฉันกับฉันตัดสินใจที่จะไม่ทำตามธรรมเนียมงานแต่งงานทั่วไปที่จะต้องเชิญแขกเหรื่อจำนวนมาก มันยากนะกับการต้องรับแรงกดดันทั้งหมดจากครอบครัวและเพื่อนฝูง แต่ในที่สุดเราก็ได้แต่งงานกัน สวมแหวนให้กัน และออกไปนอกเมืองด้วยกัน จองโรงแรมห้าดาวและกินดินเนอร์ที่แสนน่าประทับใจในร้านอาหารสุดอร่อย เรามีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกันและมีความสุขกับบรรยากาศตอนนั้นมาก เราไม่เสียใจกับการตัดสินใจของเราเลยแม้แต่น้อย ฉันคิดว่าการแต่งงานเป็นทางเลือกของคู่รักนะ และคนอื่น ๆ ก็ควรจะเคารพการตัดสินใจเหล่านั้นของพวกเขาด้วย © aprelSKA25 / Pikabu
  • ในรัสเซีย มีธรรมเนียมที่คุณควรจะต้อง “จ่ายเงินซื้อ” เจ้าสาว โชคดีที่ไม่มีใครชอบธรรมเนียมนี้ เราก็เลยไม่สนใจมันเหมือนกัน ฉันคิดว่ามันเป็นการไม่ให้เกียรติเจ้าสาวมาก และสามีฉันก็ดีใจมากที่รู้ว่าเราไม่ต้องทำอะไรแบบนั้น
  • แทนที่จะจัดงานแต่งงาน ผมกับภรรยาเลือกที่จะไปปารีสกัน 10 วัน ซึ่งญาติ ๆ ของเราต่างไม่เข้าใจและพูดว่านี่มันผิดมหันต์และเราสองคนคงไม่มีทางมีอนาคตร่วมกันได้ แต่เราก็อยู่ด้วยกันมา 37 ปีแล้วนะ © Puvel / Pikabu

คุณมีความคิดเห็นยังไงต่อธรรมเนียมงานแต่งงานในประเทศคุณ ? แบ่งปันความคิดเห็นได้ที่ข้างล่างนี้เลย !

เครดิตภาพพรีวิว Wirestock Images / shutterstock
ชีวิตสดใส/สิ่งแปลกๆ/19 ธรรมเนียมในงานแต่งงานที่หนุ่มสาวทั่วโลกเริ่มที่จะบอกลาบ๊ายบาย แล้วคุณล่ะ มีธรรมเนียมในงานแต่งอะไรบ้างที่คุณก็ไม่อยากทำเหมือนกัน
แชร์บทความนี้