8 ความจริงที่เรายังคงเชื่อกันอยู่ ซึ่งควรจะโยนมันทิ้งไปได้แล้ว
พ่อแม่ทุกคนต้องการชีวิตที่ดีกว่าให้กับลูก ๆ และพยายามสอนในสิ่งที่พวกเขาคิดว่าถูกต้อง แต่น่าเสียดายที่บางครั้งผู้ใหญ่ก็ทำผิดพลาด แถมยังสนับสนุนทัศนคติที่ไม่จำเป็นและถึงขั้นให้โทษต่อลูกหลานเลยล่ะ
ทีมบรรณาธิการของชีวิตสดใสก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าคุณจะสามารถหลีกเลี่ยงปัญหาดังต่อไปนี้ได้
8. ความสุขเป็นสิ่งที่ต้องหามา
ความสุขเป็นเรื่องธรรมชาติเหมือนกับความเจ็บปวด ความปิติยินดี ความเศร้าโศก การหัวเราะ และทุก ๆ อย่าง ดังนั้นแล้วความสุขจึงมีให้กับทุกคนอย่างแน่นอน แต่บ่อยครั้งที่ผู้คนคิดว่าพวกเขายังไม่ได้ทำงานหนักพอ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่สมควรที่จะได้รับสิ่งที่ดี จากนั้นพวกเขาก็เริ่มบ่อนทำลายชีวิตโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขมากขึ้น
อย่างแรกที่ต้องทำคือกำจัดความเชื่อบางอย่างทิ้งไป อย่างเช่นว่าเงินนั้นนำความสุขมาให้ หรือความสุขจะลดลงตามอายุ หรือบางคนมีความสุขมากกว่าคนอื่นและไม่สามารถทำอะไรกับมันได้ หรือไม่ก็ความสุขนั้นต้องการความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นและมั่นคงกับคนรัก
อย่างที่สองคือการเรียนรู้วิธีรู้สึกมีความสุข ณ ปัจจุบัน โดยในการทำสิ่งนี้ แค่ทำตามกฎง่าย ๆ ก็เพียงพอแล้ว คือให้ขอบคุณผู้อื่นอย่างจริงใจสำหรับความช่วยเหลือ ใช้เวลาในการสื่อสารกับคนที่มีความสุข ให้คำชม ชื่นชมยินดีในความโชคดีของผู้อื่น และสนุกไปกับทุกช่วงเวลาในชีวิตของคุณ อีกทั้งให้จำไว้ว่าคุณสามารถรู้สึกมีความสุขได้ แม้ว่าคุณจะเพียงแค่มองดูลมที่พัดใบไม้บนต้นไม้ก็ตาม
7. คุณต้องฟังผู้ใหญ่ เพราะว่าพวกเขานั้นฉลาดกว่า
วัยที่น่านับถือไม่ได้มีความหมายเดียวกันกับความฉลาดสูงไปเสียทั้งหมด ดังนั้นจึงไม่ควรที่จะฟังคำแนะนำของเพื่อนร่วมงานหรือญาติที่มีอายุมากกว่าเสมอไป แน่นอนว่าสิ่งนี้ควรทำอย่างสุภาพ เนื่องจากผู้ที่มีอายุมากกว่าสมควรได้รับความเคารพ แต่ความเคารพและการเชื่อฟังเป็นสิ่งที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง
ปัญหาหลัก ๆ ก็คือเด็กที่เชื่อฟังจะโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่เชื่อฟังเช่นกัน ซึ่งคนประเภทดังกล่าวจะเป็นผู้ตามที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาไม่น่าจะตัดสินใจด้วยตนเองได้ แถมยังเป็นไปได้สูงที่พวกเขาจะถูกบังคับและถูกใช้ แล้วพวกเขาก็ไม่สามารถยืนหยัดเพื่อตนเองได้ เพราะพวกเขาเคยชินกับการเชื่อฟัง
6. คุณต้องมีน้ำใจอยู่เสมอ แล้วซักวันจะมีคนตอบแทนน้ำใจคุณเช่นกัน
โชคร้ายที่โลกของเรามักไม่ยุติธรรมอยู่บ่อย ๆ เพราะในชีวิตจริงแล้ว กฎที่ว่า “ใจดีกับคนอื่น แล้วเขาจะใจดีกับคุณ” ใช้ไม่ค่อยได้ผลในทุก ๆ สถานการณ์
เด็กควรรู้สิ่งนี้ตั้งแต่วัยเด็ก เนื่องจากพวกเขาจะประสบปัญหานี้ในวัยผู้ใหญ่ ยิ่งเด็ก ๆ เรียนรู้ได้เร็วเท่าไหร่ว่าสิ่งเลวร้ายต่าง ๆ เกิดขึ้นในโลกใบนี้ แม้แต่กับคนดี ๆ ก็ตาม ชีวิตก็จะยิ่งง่ายขึ้นในภายหลัง
ความไม่ยุติธรรมมีอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นชายคนนึงที่ควรได้รับการเลื่อนตำแหน่งจากการทำงานที่ซื่อสัตย์ของเขา แต่กลับเป็นลูกชายเจ้านายของเขาที่ได้รับมันแทน หรือไม่ก็พายุเฮอริเคนพัดทำลายบ้านของเพื่อนบ้านทางด้านขวา ในขณะที่บ้านทางด้านซ้ายไม่เป็นอะไรเลย และอื่น ๆ อีกมากมาย
เด็กควรเข้าใจว่าจะมีสิ่งที่ไม่ยุติธรรมมากมายเกิดขึ้นในชีวิต และพวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ที่จะยอมรับและเอาชนะมัน
5. ภรรยาที่ดีต้องทำอาหารเก่ง
คุณคงเคยได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับชายที่อยู่เพียงลำพังและไม่สามารถทอดไข่ดาวหรือต้มเกี๊ยวเองได้ ปัญหานี้เกิดมาจากวัยเด็ก เพราะพ่อแม่สอนลูก ๆ ว่าผู้หญิงควรทำอาหาร ส่วนผู้ชายต้องทำงานด้วยมือได้ อย่างเช่นซ่อมสิ่งของและสร้างสิ่งต่าง ๆ ได้
ถึงเวลาแล้วที่จะมองว่าทั้งเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงคือคนธรรมดา ๆ ที่ต้องการทักษะการเอาชีวิตรอดขั้นพื้นฐาน แล้วทุกคนไม่ว่าจะเพศใดก็ตามก็ควรจะทำความสะอาดที่อยู่อาศัยให้เป็น และรู้วิธีทำอาหารขั้นพื้นฐานเพื่อเลี้ยงตัวเองได้
4. คุณต้องเป็น “คนปกติ” และไม่แตกต่างจากคนอื่น ๆ
การเป็น “ปกติ” สำหรับพ่อแม่หลายคนหมายถึงสิ่งต่าง ๆ หลายอย่าง เช่น การใช้มือขวาแทนมือซ้าย การใส่เสื้อผ้าที่ถือว่าสุภาพและเหมาะสม การมีงานอดิเรกที่สอดคล้องกับเพศหรืออายุ และอีกมากมาย
และในขณะที่กำหนดว่า “ความปกติ” คืออะไร ผู้ใหญ่ก็จะถูกชี้นำว่าเด็กคนอื่น ๆ ที่พวกเขารู้จักมีหน้าตาและพฤติกรรมเป็นอย่างไร โดยในวัยเด็กของคุณอย่างน้อยหนึ่งครั้ง คุณอาจถูกเปรียบเทียบกับใครบางคน อย่างเพื่อนบ้านจากชั้นห้าที่ได้เฉพาะเกรด A ในวิชาคณิตศาสตร์ หรือลูกพี่ลูกน้องของคุณที่เชี่ยวชาญการเต้นบอลรูม เล่นเทนนิส และร้องเพลง แล้วเป็นเพราะการเปรียบเทียบดังกล่าวกับความปรารถนาที่จะให้ลูกของตนทำตามมาตรฐาน “โดยเฉลี่ย” พ่อแม่จึงได้ทำลายเอกลักษณ์ตัวตนของลูกไป แม้ว่าทุกคนจะมีความเป็นปัจเจกก็ตาม
การเปรียบเทียบที่ถูกต้องเพียงอย่างเดียวคือการเปรียบเทียบกับตัวเอง อย่างเช่นเมื่อปีที่แล้ว เด็กสามารถอ่านได้ 20 คำต่อนาที แล้วปัจจุบันพวกเขาอ่านได้ 40 คำต่อนาที นั่นแสดงว่าพวกเขาทำได้ดีเลยล่ะ แม้ว่าคนอื่น ๆ จะอ่านได้ 50 คำต่อนาทีนานแล้วก็ตาม
3. คน “ปกติ” กินทุกอย่างในจานให้หมด
การบังคับให้เด็กกินอาหารให้หมดจานทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่ต้องการนั้นเป็นสิ่งที่เกิดโทษได้ โดยเห็นได้ชัดว่าความต้องการที่จะควบคุมปริมาณและคุณภาพของอาหารเกิดขึ้นเพราะพ่อแม่ต้องการทำให้แน่ใจว่าลูกมีสุขภาพแข็งแรง แต่ทว่าสิ่งนี้สามารถนำไปสู่ปัญหามากมายได้ ตั้งแต่การกินมากเกินไปไปจนถึงการแอบกินอาหารโปรดแบบลับ ๆ
คน ๆ นึงแม้จะอายุน้อย แต่ก็ควรได้รับอนุญาตให้รู้สึกได้ว่าพวกเขาต้องการกินเท่าไหร่ เพราะไม่เช่นนั้น พวกเขาจะสูญเสียความรู้สึกหิวและอิ่มไป และอาจทำให้มีน้ำหนักเกินได้ อีกทั้งการใช้เทคนิคแบล็กเมล์ อย่างเช่นการพูดว่า “กินบร็อคโคลี่ แล้วแม่จะให้คุกกี้” มักจะนำไปสู่ผลลัพธ์ที่เลวร้ายได้ด้วยเช่นกัน
หลายคนกลัวว่าถ้าเด็กกินเนื้อหมดจานเป็นมื้อกลางวันและกินเฉพาะขนมปังในมื้อเย็น แล้วด้วยความกลัว พวกเขาจะพยายามยัดอาหาร “ปกติ” เข้าไปในปากของเด็กที่โชคร้าย แต่สำหรับเด็ก ๆ แล้ว ความชอบในรสชาติอาหารที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหันกับการสูญเสียความอยากอาหารเป็นครั้งคราวถือเป็นเรื่องปกติ
2. คุณต้องหลีกเลี่ยงความขัดแย้งในทุกกรณี
การหลีกเลี่ยงความขัดแย้งไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหา เพราะเด็กทุกคนควรรู้ว่าจะต้องทำอย่างไรหากพวกเขาไม่เห็นด้วยกับใครซักคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน เพราะความรู้นี้จะส่งผลต่อชีวิตในวัยผู้ใหญ่ของพวกเขาเป็นอย่างมาก เนื่องจากพวกเราต่างก็เผชิญกับสถานการณ์ที่ขัดแย้งกันแทบทุกวัน
แน่นอนว่าเราไม่มีทางแนะนำให้เด็กรู้จักวิธีต่อสู้ แต่วิธีที่ดีที่สุดในการแก้ปัญหาก็คือการประนีประนอมกับฝ่ายตรงข้าม
1. หากคน ๆ นึงมีข้าวของราคาแพง แสดงว่าพวกเขาประสบความสำเร็จมากมายในชีวิต
ตั้งแต่วัยเด็ก เราถูกสอนว่าสินค้าฟุ่มเฟือยเป็นเครื่องบ่งชี้ความสำเร็จ เช่น อพาร์ตเมนต์ขนาดใหญ่ กระท่อมพักร้อน สระว่ายน้ำส่วนตัว อุปกรณ์เจ๋ง ๆ รถยนต์ และอื่น ๆ อีกมากมาย แม้ว่าในความเป็นจริงแล้ว การมีข้าวของพวกนี้มีความหมายแค่ว่าเจ้าของของพวกมันมีเงินสำหรับ “ของเล่น” และบางคนถึงกับกู้เงินเพื่อมาซื้อสิ่งเหล่านี้
แม้ว่าคนรอบข้างจะคิดโดยอัตโนมัติว่าคนที่มีสินค้าฟุ่มเฟือยประสบความสำเร็จในชีวิต แต่ทุกคนควรมีความเข้าใจในเรื่องความสำเร็จของตนเอง อย่างเช่น บางคนใฝ่ฝันที่จะมีครอบครัวที่มั่นคง บางคนต้องการเงินเพิ่มจากการทำงาน หรือบางคนก็ชอบโบกรถไปเที่ยวทั่วโลกและก็ไม่ได้เป็นเจ้าของอะไรเลย
สิ่งที่สำคัญที่สุดคืออย่าโกหกตัวเอง คุณต้องการที่จะประสบความสำเร็จจริง ๆ หรือว่าคุณต้องการให้ทุกคนรอบตัวคุณคิดว่าตัวคุณประสบความสำเร็จกันแน่ ?
คุณได้เรียนรู้บางอย่างในวัยเด็กที่มาเป็นอุปสรรคต่อตัวคุณในวัยผู้ใหญ่บ้างมั้ยนะ ?