ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

15 ข้อเท็จจริงของ “ท็อปกัน มาเวอริค” ที่พิสูจน์แล้วว่าทอม ครูซ ไม่ต้องการซีจีใด ๆ ในการทำงานของตัวเอง

หลังจากผ่านไปมากกว่า 30 ปี ภาพยนตร์คลาสสิกเกี่ยวกับเครื่องบินก็กลับมาแล้ว ในปี 1986 เราได้พบกับพีต มิตเชลล์ (Pete Mitchell) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ “มาเวอริค (Maverick)” หนึ่งในบทบาทแรก ๆ ที่ทอม ครูซ​ (Tom Cruise) เคยนำแสดง โดยในหนังภาคต่อ ที่ว่ากันว่าเหนือกว่าภาคแรกมากนั้น การผลิตหนังเรื่องนี้ทำให้เราแปลกใจกับการแสดงผาดโผนในเรื่องเป็นอย่างมาก จนนึกสงสัยว่าทำไมทำไมทุกสิ่งถึงดูสมจริงนัก และคำตอบก็คือ ทั้งหมดเป็นของจริงยังไงกันล่ะ

ชีวิตสดใสชอบประสบการณ์ในที่สูงมาก ๆ เราเลยต้องเตรียมตัวที่จะไม่ตกใจมากเกินไปนักขณะที่เรียนรู้เบื้องหลังการถ่ายทำของหนังที่เป็นที่นิยมจนถล่มทลายขนาดนี้

1. พวกเขาใช้เครื่องบินเจ็ทจริง ๆ แทนที่จะใช้ซีจีไอ

ไม่ใช่ความลับอะไรเลยว่าทอม ครูซ ชอบเล่นฉากบู๊ด้วยตัวเอง และภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง ท็อปกัน (Top Gun) ก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น สำหรับนักแสดงหนุ่มคนนี้แล้วนั้น การใช้ฉากเขียว ๆ ไม่ใช่คำตอบของเขาเลย เพราะมันทำให้เขาไม่สามารถแสดงใบหน้าที่บิดเบี้ยวจากแรงโน้มถ่วงได้ สำหรับโจเซฟ โคซินสกี้ (Joseph Kosinski) ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องนี้ การถ่ายทำฉากบนเครื่องบินรูปโฉมใหม่เป็นสิ่งที่จำเป็นมาก ๆ ซึ่งทำให้เขาหาทางให้นักแสดงทุกคนสามารถถ่ายฉากของตนบนเครื่องบินเจ็ทจริง ๆ ได้สำเร็จ

“ผมบอกกับทางค่ายว่า ’คุณไม่รู้หรอกว่าหนังเรื่องนี้จะถ่ายทำยากขนาดไหน ไม่มีหนังภาคต่อบนอากาศเรื่องไหนที่ถ่ายทำแบบนี้มาก่อน’” นักแสดงหนุ่มเคยกล่าวเอาไว้

2. สายโทรศัพท์จากทอม ครูซทำให้เกิดการเริ่มต้นถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องนี้

เดิมที ทอมไม่ได้มีความตั้งใจที่จะถ่ายทำภาคต่อเรื่อง ท็อปกัน สักเท่าไรนักหรอก อย่างไรก็ตาม เป็นโคซินสกี้ต่างหากที่มีไอเดียว่าจะให้มาเวอริคกลับมาอีกครั้ง และภายใน 30 นาทีเขาก็ได้อธิบายให้ครูซได้เห็นภาพของหนังเรื่องนี้ ทันใดนั้นนักแสดงหนุ่มก็หยิบมือถือของตัวเองออกมา โทรศัพท์ไปหาผู้อำนวยการใหญ่ของค่ายพาราเมาต์ พิกเจอส์ (Paramount Pictures) และพูดว่า “ผมอยากสร้างเรื่องท็อปกันอีกภาคนึง” ตั้งแต่ชั่วขณะนั้น พวกเขาก็ได้ร่วมมือกันทำงาน

3. การกลับมาของวัล คิลเมอร์นั้นสำคัญมาก

ครูซมีเพียงเงื่อนไขเดียวในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ นั่นก็คือเรื่องนี้ต้องมีวัล คิลเมอร์ (Val Kilmer) เพื่อนำบทบาท “ไอซ์แมน (Iceman)” กลับคืนจอภาพยนตร์อีกครั้ง “ตอนที่เราถ่ายหนัง มันเป็นวันที่สะเทือนอารมณ์มากที่ได้เห็นวัลกลับมา ได้เห็นเขาทำงานร่วมกับทอมอีกครั้งหลังผ่านไปถึง 35 ปีแล้ว” ผู้กำกับกล่าว

4. เจนนิเฟอร์ คอนเนลลีฝึกซ้อมฉากบนเรือบนโต๊ะ

เพื่อเตรียมตัวสำหรับฉากบนเรือ นักแสดงสาวได้ฝึกซ้อมโดยการยืนอยู่บนโต๊ะกาแฟโดยให้ลูก ๆ สเปรย์หรือเป่าน้ำใส่เธอในขณะที่เธอท่องบทไปด้วย เพื่อที่เมื่อเวลาถ่ายทำจริง เธอจะได้ไม่ลืมบทเวลาที่มีลมเป่า และเพื่อไม่ให้การเคลื่อนไหวเร็ว ๆ ของเรือมาทำให้เธอไขว้เขว (ถูกต้อง เรือที่ถ่ายทำก็เป็นเรือของจริงเช่นกัน)

5. พวกเขาถ่ายทำบันทึกภาพไปประมาณ 800 ชั่วโมงได้

สำหรับหนังภาคต่อของภาพยนตร์ที่คลาสสิกมาก ๆ นั้น พวกเขาต้องถ่ายทำบันทึกภาพกันไปยาวนานกว่าภาพยนตร์เรื่อง เดอะ ลอร์ด ออฟ เดอะ ริงส์ (Lord of the Rings) 3 ภาครวมกันเสียอีก โดยโจเซฟ โคซินสกี้กล่าวว่าในการถ่ายทำอย่างยาวนานวันนึง 12 −14 ชั่วโมงนั้น จะมีภาพดี ๆ ที่ถ่ายเก็บไว้ได้แค่ประมาณ 30 วินาทีเท่านั้นเอง

“มันต้องใช้เวลานานมาก ๆ กว่าจะได้ทั้งหมด ต้องถ่ายทำฉากทางอากาศกันนานหลายเดือน หลาย ๆ เดือนเลยทีเดียว” เขาอธิบาย

6. มันเป็นหนึ่งในหนังภาคต่อที่ห่างจากหนังภาคแรกยาวนานที่สุด

หนังภาค 2 ของภาพยนตร์เรื่อง ท็อปกัน มาถึงหลังจากหนังภาคแรกเข้าฉายไปถึง 36 ปี นี่ถือว่าเป็นหนึ่งในช่วงเวลาที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เลยก็ว่าได้ เมื่อคำนวณจากระยะห่างระหว่างรอบปฐมทัศน์ของภาพยนตร์เรื่องหนึ่งกับภาคต่อของภาพยนตร์เรื่องนั้น

7. เพลงประกอบภาพยนตร์ได้รับแรงบันดาลใจจากเพลงในยุค 80

เพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องนี้ที่ปล่อยออกมาก่อน เป็นเพลงที่แต่งโดยเลดี้ กาก้า (Lady Gaga) และบลัดป๊อป (BloodPop) โดยเพลงไตเติลนั้นได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลงแนวบัลลาดที่แสนสะเทือนอารมณ์ในยุคปี 80 ซึ่งเป็นทศวรรษที่ภาพยนตร์ต้นฉบับเข้าฉายพอดี อ้างอิงจากผู้ประพันธ์เพลงนี้ เพลง โฮลด์ มาย แฮนด์ (Hold My Hand) ถือว่าเป็นจดหมายรักที่ส่งให้กับโลกใบนี้

8. นอกจากทอมแล้ว มีเพียงนักแสดงหญิงอีกเพียงคนเดียวเท่านั้นที่ไม่อ้วกออกมาระหว่างการถ่ายทำ

เพราะฉากต่าง ๆ ที่มีนักแสดงอยู่ในเครื่องบินทั้งหมดเป็นของจริง ดังนั้นเกือบทุกคนก็จะต้องเคยอ้วกกันมาบ้างระหว่างถ่ายทำฉากผาดโผนกลางอากาศเหล่านี้ จากคำบอกเล่าของเจอร์รี บรักไฮเมอร์ (Jerry Bruckheimer) โปรดิวเซอร์ผู้ผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้ เขากล่าวว่ามีเพียงนักแสดงอีกหนึ่งคนเท่านั้น นอกจากครูซ ที่ไม่เคยอาเจียนออกมาเลยระหว่างการถ่ายทำ ซึ่งนั่นก็คือโมนิกา บาร์บาโร (Monica Barbaro)

“เมื่อคุณได้เห็นสีหน้าบนใบหน้าของพวกเขาเหล่านั้น ขอให้รู้ไว้ว่านั่นไม่ใช่การแสดง ตอนที่คุณเห็นว่าเครื่องบินโผนพุ่งขึ้นไป พวกเขาก็โผนพุ่งขึ้นไปกับเครื่องบินด้วย ตอนที่คุณเห็นว่าเครื่องบินบินกลับหัว พวกเขาก็กลับหัวอยู่จริง ๆ คุณคงจินตนาการได้ว่าพวกเขาต้องทุ่มเทกายใจมากแค่ไหนกับภาพยนตร์เรื่องนี้” เขาอธิบาย

9. ทอมได้ขับเครื่องบินบางลำเอง

เมื่อปี 1994 นักแสดงหนุ่มคนนี้ได้รับใบอนุญาตนักบิน เขาจึงสามารถขับเครื่องบินเจ็ทและเฮลิคอปเตอร์บางลำได้ ระหว่างการถ่ายทำก็มีบางเหตุการณ์ ที่ทำให้นักแสดงหนุ่มต้องขับเฮลิคอปเตอร์บินพาผู้กำกับไป ๆ มา ๆ ที่กองถ่าย และในชีวิตจริง ทอมยังเป็นเจ้าของเครื่องบิน 2-3 ลำอีกด้วย

10. สัตว์ปีกเป็นแรงบันดาลใจในการตั้งชื่อเล่นของไมลส์ เทลเลอร์

ไมลส์ เทลเลอร์ (Miles Teller) รับบทเป็นแบรดลีย์ แบรดชอว์ (Bradley Bradshaw) ซึ่งเป็นลูกของนิค (Nick) โดยนิคคนนี้ เคยเป็นเพื่อนสนิทของมาเวอริคมาก่อนในหนังภาคแรก สำหรับบทบาทใหม่นี้ เทลเลอร์เป็นคนเลือกรหัสเรียกวิทยุของตัวเองโดยเอามาจากชื่อของสัตว์ปีกเหมือนกับชื่อรหัสของนิค โดยในขณะที่พ่อของเขาเชื่อ “กูส” (Goose — ห่าน) แบรดลีย์ก็จะเป็นที่รู้จักกันในชื่อ “รูสเตอร์” (Rooster — ไก่ตัวผู้)

11. ทอม ครูซไม่ต้องการให้มีตัวเลขบนชื่อหนัง

ทอม ครูซคิดว่ามันไม่จำเป็นที่จะต้องมีตัวเลขต่อท้ายชื่อหนังเรื่องนี้ ดังนั้น แทนที่จะใช้ชื่อเรื่องว่า ท็อปกัน 2 (Top Gun 2) พวกเขาจึงจบลงที่ ท็อปกัน มาเวอริค (Top Gun: Maverick) แทน

12. พวกเขาทิ้งความผิดพลาดบางอย่างไว้ด้วยความตั้งใจ

ดังที่เราได้เคยกล่าวเอาไว้ก่อนหน้านี้ว่า หนึ่งในหลายสิ่งที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความพิเศษคือการที่ภาพยนตร์เรื่องนี้ถ่ายทำในเครื่องบินเจ็ทจริง ๆ เพราะสิ่งนั้นเอง จึงทำให้สุดท้ายแล้วภาพยนตร์เรื่องนี้มี “ความไม่สมบูรณ์แบบ” อยู่ในนั้นบ้าง ยกตัวอย่างเช่น มีฉากที่กล้องขยับเคลื่อนไหวโดยไม่ตั้งใจ หรือหลุดภาพโฟกัสไป นอกจากนี้ยังมีมุมกลับบางอย่างที่ปรากฏอยู่ในกล้องด้วย

“ทั้งหมดนั้นทำให้มันน่าตื่นเต้นมากยิ่งขึ้น จริงยิ่งขึ้น และมีความเป็นมนุษย์มากขึ้น” คลอดิโอ มิแรนดา (Claudio Miranda) ผู้กำกับการถ่ายภาพได้กล่าวเอาไว้

13. เหล่านักแสดงต้องผ่านการฝึกถึง 3 เดือน

เพื่อเตรียมตัวให้เหล่านักแสดงพร้อมสำหรับการแสดงเหนือระดับน้ำทะเลหลายพันฟุต ทอมจึงได้ออกแบบคอร์สการฝึกระยะเวลา 3 เดือนให้กับตัวเองและเพื่อน ๆ นักแสดง โดยการฝึกซ้อมประกอบไปด้วยการฝึกในหลาย ๆ ระดับความสูง การว่ายน้ำ และการเรียนรู้วิธีใช้ร่มชูชีพก่อนที่จะตกลงในสระว่ายน้ำ

14. หนังภาคใหม่นี้มีความคล้ายคลึงบางอย่างกับภาพยนตร์ต้นแบบ

ครูซยืนยันว่าภาพยนตร์เรื่องนี้มีโทนเรื่องคล้ายกับในภาคแรกมาก ยังคงต้องมีเรื่องของความเร็วและเครื่องบินลำใหญ่อยู่ ซึ่งจะทำให้หวนกลับไปนึกถึงเรื่อง ท็อปกัน ที่เคยคลั่งไคล้กันในปี 1986 อย่างแน่นอน

15. ต้องใช้เวลาเป็นเดือน ๆ เลยทีเดียวกว่าจะติดตั้งกล้องไว้บนเครื่องบินได้สำเร็จ

การถ่ายทำภาพยนตร์ในเครื่องบินเจ็ทไม่ใช่เรื่องเล่น ๆ เลยนะ นั่นคือสาเหตุที่ครูซต้องทำงานร่วมกับกองทัพอากาศของสหรัฐอเมริกาอยู่นานถึง 15 เดือน เพื่อที่จะหาวิธีที่ดีที่สุดที่จะติดตั้งกล้องไว้ทั้งข้างนอกและข้างในเครื่องบินได้ โดยไม่ส่งผลต่อการบังคับการบิน เพื่อที่จะให้ทำเช่นนั้นได้ เหล่านักแสดงจะต้องเป็นผู้หันกล้องด้วยตัวเอง และผู้กำกับจะสามารถดูคลิปการถ่ายทำได้เมื่อเครื่องลงจอดแล้วเท่านั้น

“ผมต้องสอนพวกเขาถ่ายทำภาพยนตร์และจัดแสงเอง พวกเขาจะได้เข้าใจว่าจัดภาพแบบไหนจึงจะออกมาดูดี” ทอมพูด

ถ้าเป็นคุณ คุณจะบินบนเครื่องบินเจ็ทด้วยตัวเองเหมือนที่ทอม ครูซทำรึเปล่า ?

ชีวิตสดใส/ภาพยนตร์/15 ข้อเท็จจริงของ “ท็อปกัน มาเวอริค” ที่พิสูจน์แล้วว่าทอม ครูซ ไม่ต้องการซีจีใด ๆ ในการทำงานของตัวเอง
แชร์บทความนี้