กว่า 15 เรื่องราวของปีเตอร์ ดิงค์เลจที่ทำให้เราหลงรักเขามากขึ้นกว่าเดิม
ทีเรียน แลนนิสเตอร์ (Tyrion Lannister) น่าจะเป็นหนึ่งในตัวละครที่ได้รับความนิยมสูงสุดจากเรื่องมหาศึกชิงบัลลังก์ (Game of Thrones) และในโลกความบันเทิงทั่วไป นอกจากนั้น มันได้เป็นช่วงเวลาสำคัญทางอาชีพการงานของปีเตอร์ ดิงค์เลจ (Peter Dinklage) นักแสดงชาวนิวเจอร์ซีย์แต่กำเนิดซึ่งรับบทเป็นทีเรียนแบบที่ซีรีย์เรื่องนี้ต้องการ บุคลิกเจ้าบทบาท ไหวพริบและความจองหองของเขาที่ผสมผสานเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ทำให้เขากลายเป็นตัวละครที่น่าจดจำ
นี่จึงเป็นสาเหตุที่ชีวิตสดใสอยากเล่าเรื่องราวชีวิตของปีเตอร์ ดิงค์เลจให้คุณฟังเพื่อทำให้คุณได้รู้ว่าเขามีอะไรที่มากกว่าการเป็นนักแสดงที่เล่นเป็นทีเรียน แลนนิสเตอร์อีกเยอะ
1. เขาเป็นตัวเลือกแรกและตัวเลือกเดียวที่จะมารับบทเป็นทีเรียน แลนนิสเตอร์
จอร์จ อาร์. อาร์. มาร์ติน (George R. R. Martin) ผู้เขียนหนังสือที่เป็นต้นแบบของซีรีย์เรื่องมหาศึกชิงบัลลังก์ได้กล่าวไว้ว่าตั้งแต่ช่วงต้นของซีรีย์ ปีเตอร์ ดิงค์เลจเป็นตัวเลือกแรกที่จะมารับบทเป็นทีเรียน ผู้เปรื่องปราชญ์เนื่องจากเขานึกไม่ออกเลยว่าจะมีนักแสดงคนไหนอีกที่เหมาะกับบทบาทนี้
2. เขาแนะนำลีน่า เฮดดี้สำหรับบทเซอร์ซี แลนนิสเตอร์
ปีเตอร์เคยร่วมงานกับลีน่า เฮดดี้ (Lena Heady) ในภาพยนตร์เรื่องพีท สมอลล์ส อีส เดธ (Pete Smalls is Dead) และทั้งคู่ก็กลายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน เมื่อเขาได้รับโอกาสให้มาแสดงเรื่องมหาศึกชิงบัลลังก์ เขาก็โน้มน้าวโปรดิวเซอร์ว่าลีน่าเหมาะที่จะมารับบทเป็นเซอร์ซี แลนนิสเตอร์ พี่สาวในเรื่องของเขาและที่เหลือก็อย่างที่เรารู้กัน
3. เขาเป็นมังสวิรัติและเป็นคนรักสัตว์
เขาตกลงว่าจะไม่กินเนื้อสัตว์ ในการให้สัมภาษณ์ เขาบอกว่า “ผมชอบสัตว์ ผมชอบสัตว์ทุกชนิดเลย ผมจะไม่ทำร้ายแมว หมา ไก่หรือวัว และผมก็จะไม่ขอให้ใครทำร้ายพวกมันเพื่อผม นั่นเป็นสาเหตุที่ผมจึงเป็นมังสวิรัติ”
เขาเป็นนักกิจกรรมต่อสู้เพื่อสิทธิของสัตว์และเป็นพันธมิตรกับองค์กรปกป้องสิทธิสัตว์ด้วย เขามีหมาชื่อเควินซึ่งเขามักจะพามันไปเดินเล่นที่ถนนในแมนฮัตตันอยู่บ่อยครั้ง ในตอนที่ต้องถ่ายฉากที่กินเนื้อสัตว์ เขาจะกินผลิตภัณฑ์ที่ทำจากเต้าหู้ในตอนที่อยู่หน้ากล้อง
4. เขาเป็นนักร้องนำวงพังค์
การแสดงไม่ใช่แค่การเข้าสู่โลกของศิลปะอย่างเดียวของปีเตอร์ ดิงค์เลจเท่านั้น ในช่วงยุค 90 เขาเคยเป็นนักร้องนำวงพังค์ที่มีชื่อว่าวิซซี่ (Whizzy) ระหว่างการเล่นคอนเสิร์ต เขาได้กระโดดบนเวทีและเกิดอุบัติเหตุที่ทำให้เขามีรอยแผลเป็นตั้งแต่บริเวณลำคอไปจนถึงคิ้ว
5. เขาเป็นแฟนตัวยงของแบทแมน
นักแสดงหนุ่มยอมรับว่าเขาชอบแบทแมนสุด ๆ “เขาไม่มีพลังวิเศษ เขาเป็นแค่คนธรรมดาและเขาก็มีด้านมืด” ปีเตอร์บอกว่าภาพยนตร์แบทแมนไตรภาคที่กำกับโดยคริสโตเฟอร์ โนแลน (Christopher Nolan) เป็นภาพยนตร์ซุปเปอร์ฮีโร่ที่ดีที่สุด เขาอยากปรากฏตัวในเรื่องแบทแมน โดยเฉพาะในบทของตัวร้าย
6. เขาปฏิเสธหลาย ๆ บทบาทเพราะเขาไม่อยากเล่นเป็น “คนแคระที่มีเวทมนตร์”
ปีเตอร์ชัดเจนมาโดยตลอดว่าเขาจะไม่รับเล่นบทบาทที่ใช้ส่วนสูงของเขาในการเรียกเสียงหัวเราะ ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธบทเอล์ฟหรือตัวโนมจากหลาย ๆ เรื่อง ถึงแม้ว่าพวกเขาจะจ่ายค่าตัวอย่างงามก็ตาม เป็นเวลาหลายปีก่อนที่เขาจะมารับบททีเรียน ตัวละครที่ทำให้เขาดังเป็นพลุแตก ปีเตอร์มีคำของ่าย ๆ นั่นก็คือตัวละครที่เขาเล่นจะต้อง “ไม่ไว้เครายาวและไม่ใส่รองเท้าปลายแหลม” และมันก็เป็นอะไรที่คุ้มค่า
7. เพื่อน ๆ มองว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีความภักดีมาก
ปีเตอร์มีกลุ่มเพื่อนสนิทในวงการภาพยนตร์และละครเวทีในนิวยอร์ก พวกเขามีมิตรภาพที่แน่นแฟ้นร่วมกันมาหลายปีและร่วมมือกันในโปรเจคต่าง ๆ ปีเตอร์กล่าวว่าความมุมานะทางด้านศิลปะช่วยส่งเสริมมิตรภาพให้คงอยู่ตลอดไปและความภักดีก็เป็นอุปนิสัยอันสูงส่ง
8. เขาเป็นคนเดียวในครอบครัวที่มีอาการแคระแกร็น
เขาเป็นโรคกระดูกอ่อนไม่เจริญเติบโตซึ่งเป็นรูปแบบของคนแคระที่ร่างกายมีการพัฒนาอย่างปกติ ยกเว้นส่วนแขนและขา ทั้งพ่อแม่และพี่น้องของเขาไม่มีใครที่เป็นโรคนี้ ภรรยาและลูก ๆ ของเขาก็เช่นกัน
9. เขาคิดว่าหนังสือมหาศึกชิงบัลลังก์เป็นหนังสือที่อ่านแล้วงง
บทบาทของทีเรียน แลนนิสเตอร์ซึ่งเป็นบทบาทที่มีชื่อเสียงที่สุดของปีเตอร์อาจจะทำให้บางคนเดาว่าเขาน่าจะเป็นแฟนของหนังสือเล่มนี้ แต่นั่นไม่ใช่เรื่องจริงเลย ในการให้สัมภาษณ์ในรายการเดวิด เลทเทอร์แมน โชว์ (David Letterman Show) ปีเตอร์บอกว่าเขาคิดว่าหนังสือเรื่องนี้ดูสับสนจนทำให้เขาอ่านไม่จบ “ตัวละครที่ผมเล่นน่าจะต้องฆ่าผมที่ผมพูดแบบนี้ออกไปแน่ ๆ” เขาเล่นมุกตามหลัง
10. เขาไม่เคยพูดว่าเขาเป็นตัวแทนของคนตัวเตี้ย
เมื่อถูกถามในการให้สัมภาษณ์กับนิวยอร์กไทม์ (New York Times) ว่าเขาหวังอยากจะเป็นกระบอกเสียงเพื่อเรียกร้องสิทธิของคนตัวเตี้ยหรือไม่ ปีเตอร์ตอบว่านั่นจะเป็นการลำพองตนเกินไป “ทุกคนแตกต่างกันและทุกคนที่มีขนาดตัวเท่าผมก็มีชีวิตที่แตกต่างกัน มีเรื่องราวที่แตกต่างกันและมีวิธีการรับมือกับมันที่แตกต่างกัน แค่เพราะว่าผมดูไม่มีปัญหากับส่วนสูงก็ไม่ได้หมายความว่าผมจะไปพร่ำสอนใคร ๆ ว่าต้องทำยังไง”
11. ความสำเร็จในหน้าที่การงานของเขาไม่ได้มาเพราะโชคช่วย
ปีเตอร์ ดิงค์เลจทุ่มเทในการเตรียมตัวเป็นนักแสดงและมีการฝึกฝนอย่างหนัก เขาเรียนการแสดงที่วิทยาลัยเบนนิงตันในเวอร์มอนต์และย้ายไปอยู่นิวยอร์กกับเพื่อนที่คิดจะสร้างบริษัทโรงละคร ทั้งคู่อาศัยอยู่ในอพาร์ตเมนต์ที่สั่นสะเทือนทุกครั้งที่รถไฟวิ่งผ่านข้ามสะพานที่อยู่เหนือพวกเขาและจัดปาร์ตี้เพื่อจ่ายค่าเช่า
12. โจนาธาน พี่ชายของเขาเป็นนักไวโอลินมืออาชีพ
โจนาธาน ดิงค์เลจ (Jonathan Dinklage) พี่ชายของเขาเล่นไวโอลินประกอบภาพยนตร์และออกอัลบั้มกับนักร้องชื่อดังอย่างร็อด สจ๊วต (Rod Stewart) และเอมี่ ไวน์เฮ้าส์ (Amy Winehouse) มาแล้ว ปีเตอร์บอกว่าพี่ชายของเขาเป็นนักแสดงตัวจริงในครอบครัวและความหลงใหลที่มีต่อการเล่นไวโอลินก็เป็นสิ่งเดียวที่หยุดยั้งเขาจากการเป็นนักแสดง
13. เขาหลงใหลในโรงละคร
ตั้งแต่ครั้งแรกที่แสดงละครเวที เขาก็รู้ทันทีว่าเขารักในสิ่งนี้ ปัจจุบันนี้เขาเป็นนักแสดงละครเวทีที่ได้รับการนับหน้าถือตาซึ่งได้แสดงนำในละครเวทีบอร์ดเวย์และร่วมแสดงกับเมอรีล สตรีป (Meryl Streep) เขาถึงกับแต่งงานกับเอริก้า ชมิตท์ (Erica Schmidt) ผู้กำกับละครเวทีซึ่งเคยร่วมงานกันมาหลายโปรเจคแล้ว
14. เขาทำละครเวทีหุ่นเชิดให้กับเพื่อนบ้านของเขา
ปีเตอร์และพี่ชายของเขาทำละครเวทีหุ่นเชิดให้กับเพื่อนบ้านของเขา โดยเป็นละครเพลงที่มีชื่อว่า “เพลงที่เสียงดังที่สุดเท่าที่จะหาได้” โดยพวกเขาได้ทำเวอร์ชั่นของภาพยนตร์เรื่องควอโดรพีเนีย (Quadrophenia) ซึ่งเป็นอัลบั้มของวงเดอะ ฮู (The Who) และได้ทำชุดกลองขนาดเล็กจากกระป๋องทูน่า
15. เขาปรากฏตัวในภาพยนตร์รีเมคซึ่งเขาเคยแสดงในเรื่องก่อนหน้า
ในปี 2007 ปีเตอร์ปรากฏตัวในภาพยนตร์ตลกร้ายของอังกฤษเรื่องวันญาติจุ้น วุ่นตายฮ่ะ (Death at a Funeral) โดยรับบทเป็นตัวร้ายที่เป็นตัวละครหลัก (ชื่อปีเตอร์เหมือนกัน) ภาพยนตร์เรื่องนี้ถูกนำมารีเมคอีกครั้งในปี 2010 และปีเตอร์ก็กลับมาเล่นบทเดิม แต่ครั้งนี้เปลี่ยนชื่อเป็นแฟรงค์
16. เขาต้องการมีชีวิตที่สุขุมและรอบคอบ
ปีเตอร์ชอบความเป็นส่วนตัว เขาไม่ต้องการให้เรื่องราวของภรรยาและลูก ๆ ถูกเปิดเผยในทุก ๆ กรณี เขาแต่งงานอย่างเงียบ ๆ ที่ลาสเวกัสในปี 2005 ก่อนที่เขาจะมีชื่อเสียงจากเรื่องมหาศึกชิงบัลลังก์ เขามีลูกสองคนซึ่งเขาไม่ต้องการให้ตกเป็นเป้าสายตาของสาธารณะ ดังนั้นเขาและภรรยาจึงตัดสินใจย้ายไปอยู่แถบชนบทนอกนิวยอร์ก
17. เขาแต่งงานกับเอริก้า ชมิตท์ ผู้กำกับละครเวที
ทั้งคู่เคารพและชื่นชมกันและกัน แต่พวกเขามีการมองโลกที่ต่างกัน ในขณะที่ปีเตอร์มองโทรทัศน์เป็นพื้นที่ในการแสดง แต่เอริก้ามีความหลงใหลในโรงละคร
“เธอเป็นคนที่สร้างแรงบันดาลใจได้อย่างยอดเยี่ยม เธอเป็นศิลปินตัวจริงในครอบครัว” เขากล่าว นักแสดงหนุ่มสารภาพว่าก่อนที่เขาจะเจอเอริก้า เขาทำลายความสัมพันธ์ของเขาโดยตั้งใจด้วยการตกหลุมรักคนที่ไม่คิดจะรักเขาตอบ ถึงอย่างนั้น เมื่อได้เจอคนที่ใช่ เขาก็หยุดทำแบบนั้น “ถ้าใครสักคนโชคดีพอที่จะได้พบกับความรัก มันจะคว้าคุณเอาไว้ คุณไม่ต้องบังคับให้ตัวเองรู้สึก แต่คุณจะเลือกได้ว่าคุณจะทำยังไงกับมัน” เขากล่าว
และในขณะที่หลายคนอาจจะเชื่อว่าความสูงน่าจะเป็นปัญหา ในความเป็นจริงแล้ว มันไม่ได้เป็นปัญหาเลย “ปีเตอร์เป็นผู้ชายที่หล่อเหลา มีเสน่ห์และมีอารมณ์ขัน แต่เมื่อเขาถ่ายนิตยสารหรืออะไรทำนองนั้น มันก็เหมือนกับว่า ‘ไม่น่าแปลกใจเลยหรอที่เขาดูสูง 180 เซนและหล่อขนาดนั้น’ คุณรู้ไหมว่าปีเตอร์เป็นแบบนั้นและคนทั้งโลกก็ต้องตามเขาให้ทัน” ภรรยาของเขาให้ความเห็นในการให้สัมภาษณ์
18. เขามีลูกสองคน แต่เราแทบจะไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับเด็กทั้งสองเลย
ลูกสาวคนโตของปีเตอร์เกิดปี 2011 แต่สำหรับวันที่และชื่อของเธอและแม้แต่วันเกิดจริง ๆ ก็ไม่มีการเปิดเผยและเขาก็มีลูกชายอีกคนตามมาในปี 2017 แต่คู่รักคู่นี้ไม่เคยยืนยันรายละเอียดใด ๆ เลย ถึงอย่างนั้น สื่อบางเจ้าก็ยังดึงคำพูดที่น่าประทับใจเกี่ยวกับความเป็นพ่อออกมาจากปากของปีเตอร์ได้ โดยเขาบอกว่าการเป็นพ่อนั้นเป็นสิ่งที่ “น่าทึ่งและเปลี่ยนชีวิตไปเลย”
ข้อเท็จจริงที่น่าสนใจของปีเตอร์ข้อไหนที่ดึงความสนใจของคุณได้