เรื่องราวของโทบี้ แม็คไกวร์จากเด็กธรรมดาสู่หนึ่งในนักแสดงฮอลลีวูดที่ผู้คนตกหลุมรักมากที่สุด
มีคนมากมายหลายคนที่ต่างเคยฝันอยากจะเป็นดาราภาพยนตร์ผู้ยิ่งใหญ่ พวกเขาอยากจะโด่งดังและมีเงินทองมากมาย เหมือนกับฮีโร่ในความฝันของพวกเขา อย่างไรก็ตาม เรามักจะลืมไปว่าทุก ๆ ภาพยนตร์ฮอลลีวูดที่โด่งดังหลาย ๆ เรื่อง มักจะมีมนุษย์ธรรมดา ๆ นี่แหละที่ต้องเสียสละอะไรไปหลายอย่างมากมายกว่าจะไปถึงจุดนั้น มีเรื่องราวมากมายที่ต้องใช้ทั้งความทุ่มเทพยายาม ความมีระเบียบวินัย และความอดทน
ชีวิตสดใสชอบเรื่องราวที่สอนเราว่าความฝันสามารถเป็นจริงได้มาก ๆ เรื่องราวของโทบี้ แม็คไกวร์ (Tobey Maguire) ก็จัดว่าเป็นหนึ่งในนั้นเช่นกัน เขาเริ่มต้นจากวัยเด็กที่ยุ่งเหยิงมาสู่ดาราฮอลลีวูดได้ในที่สุด
เริ่มตั้งแต่เมื่อปี 1975 เมื่อโทเบียส วินเซนต์ แม็คไกวร์ (Tobias Vincent Maguire) หรือที่รู้จักกันดีในชื่อโทบี้ แม็คไกวร์ ได้ถือกำเนิดขึ้นมาบนโลกใบนี้ พ่อแม่ของเขาในตอนนั้นยังอายุน้อยพอสมควร และอยู่ในช่วงที่กำลังสร้างเนื้อสร้างตัวให้แก่ตัวเอง คุณแม่วัย 18 ปีของเขา เวนดี้ บราวน์ (Wendy Brown) ทำงานด้านการโฆษณาและพยายามที่จะเป็นนักแสดงให้ได้ ในขณะที่คุณพ่อวัย 20 ปีของเขา วินเซนต์ แม็คไกวร์ (Vincent Maguire) ทำงานเป็นกุ๊กและทำงานก่อสร้างไปด้วย เมื่อโทบี้มีอายุได้ 2 ขวบ พ่อแม่ของเขาก็ได้หย่าขาดจากกัน
สิ่งนี้ทำให้ชีวิตเขาวุ่นวายสับสนขึ้นมากว่าปกตินิดหน่อย โดยนักแสดงหนุ่มได้เล่าเรื่องราวเก่า ๆ ในอดีตไว้ในบทสัมภาษณ์ว่า “ผมมีที่ซุกหัวนอนเสมอนะ มีหลังคาไว้กันแดดกันฝน แต่ผมมักต้องไปหลับนอนตามโซฟาของบ้านญาติ ๆ และบางครั้งก็ต้องร่อนเร่ไปตามศูนย์พักพิง ครอบครัวผมมีสแตมป์แลกอาหารและประกันสุขภาพของรัฐบาล ผมอยากจะพาตัวเองออกมาจากสภาพเหล่านั้น ดังนั้นความมุ่งมั่นพยายามของผมตั้งแต่แรกเริ่มนั้นคือการทำเพราะต้องการหาเงิน”
เห็นได้ชัดว่าแรงกระตุ้นหลักแต่เดิมของเขาเลยคือเงิน ซึ่งนั่นทำให้เขาคิดที่จะเจริญรอยตามคุณพ่อของเขา การกลายเป็นเชฟอาจจะเป็นทางแก้ไขปัญหาที่รวดเร็วที่สุดที่จะช่วยบรรเทาปัญหาทางด้านการเงินได้ อย่างไรก็ตาม คุณแม่ก็ชักจูงให้เขาเริ่มเข้าเรียนในคลาสการแสดงต่าง ๆ โดยให้เงินเขาราว ๆ 3,500 บาท (100 ดอลลาร์) เพื่อไปลงเรียน ซึ่งสิ่งนั้นได้เปลี่ยนชีวิตของโทบี้ไปตลอดกาล
ตอนนั้นเขามีอายุเพียง 12 ปีตอนที่เขาเริ่มเข้าเรียนคลาสการแสดง และผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ เขาได้ไปปรากฏโฉมในโฆษณาสองสามครั้ง ซึ่งหลังจากนั้นเขายังได้ปรากฏกายเล็ก ๆ น้อย ๆ ในซีรีย์โทรทัศน์อีกด้วย แต่สำหรับเขาแล้ว การได้มาซึ่งความสำเร็จนั้นต้องทำมากกว่าการรอคอยให้ประตูแห่งโอกาสเปิดขึ้นเอง “มันไม่ได้เพียงแค่ต้องมีโอกาสหรอกนะ แต่มันอยู่ที่ทัศนคติเป็นสำคัญเลยต่างหาก ต้องมีความสามารถที่จะนึกภาพตัวเองว่าจะมีอนาคตในรูปแบบใหม่ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไปได้” นักแสดงหนุ่มกล่าวไว้เช่นนั้น
และเมื่อคุณต้องใช้ชีวิตอยู่โดยที่ต้องเอาแต่คิดว่าจะผ่านวันหนึ่ง ๆ ไปได้อย่างไร นั่นเป็นสิ่งที่เปลืองแรงพลังมาก โดยแม็คไกวร์ได้อธิบายไว้ว่า “เวลาที่สมองของคุณไม่มีที่ว่างพอให้คิดเรื่องอื่น เพราะต้องมัวแต่ไปกังวลว่าฉันจะมีอะไรกิน ฉันจะหาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเช่า ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมต้องต่อสู้มาตลอดในชีวิต เมื่อถึงวันหนึ่งที่คุณไม่ต้องมาคอยกังวลกับสถานการณ์ในวันต่อวันแล้วละก็ สมองของคุณก็จะมีพื้นที่เหลือให้ไปคิดเรื่องอื่น ๆ”
เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ วิถีการแสดงของโทบี้ก็มั่นคงมากขึ้นเรื่อย ๆ เขาสามารถไปปรากฏโฉมคู่กับโรเบิร์ต เดอ นีโร (Robert De Niro) และลีโอนาร์โด ดิคาปริโอ (Leonardo DiCaprio) ในภาพยนตร์ปี 1993 เรื่องขอเพียงใครซักคนที่เข้าใจ (This Boy’s Life) ในปี 1997 เขาคือหนึ่งในทีมนักแสดงเรื่องหนาวนี้มีรัก (The Ice Storm) ในขณะที่ปี 2000 เขาก็ได้รับบทหลักในเรื่องอลวนสะดุดรัก (Wonder Boys) โดยแสดงกับไมเคิล ดักลาส (Michael Douglas) และโรเบิร์ต ดาวน์นีย์ จูเนียร์ (Robert Downy Jr.)
ความยากลำบากในช่วงแรกเริ่มของอาชีพเขาคือเรื่องที่เกิดขึ้นในอดีต “มันคือมุมมองที่ผมใช้มองเรื่องราวต่าง ๆ จินตนาการของเราไม่ได้ยึดติดกับความเป็นจริง สิ่งที่เป็นพื้นฐานในจิตใจจริง ๆ หรือกับสถิติใด ๆ ผมคิดว่าชีวิตของคนเราคือผลผลิตมาจากจินตนาการของเราเองมากกว่า” นักแสดงหนุ่มสารภาพ
และชีวิตของโทบี้ แม็คไกวร์ก็เปลี่ยนแปลงไปเลยจริง ๆ ในปี 2002 โดยมีสักขีพยานเป็นผู้คนทั่วโลกเมื่อเขาได้รับบทสไปเดอร์แมน (Spider-Man) ภาพยนตร์ที่ทำรายได้ให้เขามากถึงเกือบ 144 ล้านบาท (4 ล้านดอลลาร์) และในปี 2003 เขาก็ได้ทำสถิติจากเรื่องซีบิสกิต ม้าพิชิตโลก (Seabiscuit) ซึ่งสร้างรายได้ให้เขามากขึ้นอีก 431 ล้านบาท (12 ล้านดอลลาร์)
“สมัยแรก ๆ ที่ผมประสบความสำเร็จ ผมใช้จ่ายเงินอย่างระมัดระวังมาก ซึ่งแน่นอนว่ามันต่อยอดมาจากเรื่องราวพื้นฐานในอดีตของผม คุณเคยเห็นคนที่ถูกหวยรางวัลใหญ่แล้วลงท้ายที่ใช้เงินจนหมดตัวไหมล่ะ ? สิ่งนั้นไม่มีทางจะเกิดขึ้นกับผมแน่ ผมไม่อยากให้ตัวเองไปถึงในจุดที่ว่าผมมีค่าใช้จ่ายสูงเสียจนผมต้องเล่นหนังต่อไปเรื่อย ๆ เพื่อพยายามหาเงินมาให้พอ” นักแสดงหนุ่มเปิดเผย
เราแทบไม่ต้องสงสัยเลยว่าปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ (Peter Parker) จะเป็นคนที่สำคัญต่อชีวิตโทบี้มากแค่ไหน เขาได้รับการจัดอันดับให้เป็นนักแสดงที่ได้เงินมหาศาลมากที่สุดในบรรดานักแสดงที่เคยเล่นเป็นฮีโร่ชักใยคนนี้ โดยมีรายได้กว่า 629 ล้านบาท (17.5 ล้านดอลลาร์) บวกเพิ่มไปอีก 5% จากรายได้บ๊อกซ์ออฟฟิศที่ขายได้จากภาพยนตร์เรื่องสไปเดอร์แมน 2 (Spider-Man 2) กับอีกกว่า 539 ล้านบาท (15 ล้านดอลลาร์) บวกไปอีก 7.5% จากรายได้บ๊อกซ์ออฟฟิศในหนังภาคที่ 3 เท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะหยุดพักผ่อนไปได้ยาว ๆ เลย !
แต่การที่จะประสบความสำเร็จได้ แค่ใฝ่ฝันถึงมันอย่างเดียวนั้นไม่เพียงพอหรอกนะ คุณต้องทุ่มเทอย่างหนักเพื่อให้ได้มา นักแสดงหนุ่มจึงรู้สึกราวกับว่าการที่เขาทำความฝันให้เป็นจริงได้นั้นเขาต้องทำตัวให้ไหลได้เหมือนน้ำ ที่เปลี่ยนสภาพไปได้ตามสถานการณ์ใหม่ ๆ ที่ถาโถมเข้ามา “หากจะมีอะไรสักอย่างที่ผมอยากได้จริง ๆ ผมจะวางกลยุทธ์ และทุ่มเทลงแรงทำให้สำเร็จจนกว่าผมจะได้มันมา ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม” แม็คไกวร์ได้กล่าวไว้
ในปี 2021 เราต่างได้เห็นโทบี้ แม็คไกวร์หวนคืนสู่จักรวาลคู่ขนานมาร์เวล (Marvel multiverse) กันไปแล้ว ในฐานะสไปเดอร์แมนในภาพยนตร์เรื่อง สไปเดอร์แมน: โน เวย์ โฮม (Spider-Man, No Way Home) อย่างไรก็ตาม นักแสดงหนุ่มคนนี้ก็ยังได้เล่นเป็นตัวละครอื่น ๆ ที่ทำให้เขาต้องเปลี่ยนแปลงรูปร่างของตัวเอง และต้องใช้ความสามารถในการแสดงละครเพื่อแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของเขาในการถ่ายทำหนังเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย อย่างไรก็ตาม ความเป็นมังสวิรัติและการฝึกโยคะของตัวเขาก็ยังแสดงถึงความมุ่งมั่นที่เขามีต่อตนเองอีกด้วย
ภาพยนตร์เรื่องบาบิโลน (Babylon) จะเข้าฉายรอบปฐมทัศน์ในปี 2023 ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้เราก็จะได้เห็นตัวละครชาลส์ แชปลิน (Charles Chaplin) ที่รับบทโดยโทบี้ คนหนุ่มคนเดิมกับคนที่เคยเรียนการแสดงเมื่อมีอายุได้ 12 ขวบ ซึ่งในที่สุดสิ่งเหล่านี้ก็ได้สอนให้เรารู้ว่าเมื่อไหร่ก็ตามที่คุณต้องการบางสิ่งอย่างสุดหัวใจ คุณต้องทุ่มเทลงแรงเพื่อให้ได้มันมา และในที่สุดแล้วชีวิตก็จะมอบรางวัลให้แก่คุณเอง
มีความฝันอะไรไหมที่คุณยังทำไม่สำเร็จ ? คุณยินดีที่จะทำอะไรเพื่อความฝันนั้นของคุณบ้าง ?