เรื่องราวของทอม ครูซ นักแสดงผู้ฝากร่องรอยไว้กับวัฒนธรรมของโลกใบนี้ได้ในแบบที่แทบไม่มีใครเสมอเหมือน
ทอม ครูซ (Tom Cruise) คือหนึ่งในนักแสดงชายที่ได้รับความนิยมมากที่สุด และมีค่าตัวสูงที่สุดในวงการฮอลลีวูด ภาพยนตร์ของเขารวมแล้วสร้างรายได้ทั่วโลกได้มากกว่า 360 แสนล้านบาท (10 พันล้านดอลลาร์) ทำให้เขากลายเป็นหนึ่งในนักแสดงที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตลอดกาล ด้วยผันผ่านชีวิตมาอย่างยาวนานถึง 60 ปีกับการดำเนินเส้นทางอาชีพนักแสดงมาเป็นเวลา 41 ปี นับว่าครูซได้จารึกร่องรอยไว้กับวัฒนธรรมของโลกเราในแบบที่แทบไม่มีใครเสมอเหมือน
ขีวิตสดใสจะพาคุณไปย้อนมองดูเส้นทางอาชีพของนักแสดงหนุ่มท่านนี้ ประกอบกับวิวัฒนาการหน้ากล้องของเขาเพื่อขอชื่นชมสรรเสริญในสิ่งที่เขาสร้างไว้ให้กับวงการภาพยนตร์
ทอม ครูซ เกิดเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 1962 ที่รัฐนิวยอร์ก เขาเป็นลูกชายของวิศวกรไฟฟ้ากับคุณครูการศึกษาพิเศษ โดยเขาเกิดมาในครอบครัวที่มีพี่สาวน้องสาวอีก 3 คน เมื่อครูซอายุได้ 16 ปี แม่ของเขาก็เลิกรากับคุณพ่อและย้ายไปอยู่ที่เมืองซินซินแนติ (Cincinnati) ซึ่งตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ที่หนุ่มน้อยครูซได้แสดงออกว่ามีความสนใจที่อยากจะเป็นนักแสดง และเริ่มเล่นละครโรงเรียนหลายเรื่อง
เมื่อเขาอายุได้ 18 ปี ครูซก็ย้ายไปอยู่ที่ลอสแอนเจลิสเพื่อที่จะไล่ตามความฝันของการมีอาชีพเป็นนักแสดง หลังจากได้รับบทตัวประกอบในละครโทรทัศน์หลายต่อหลายเรื่อง ในที่สุดเขาก็สามารถได้รับบทบาทเล็ก ๆ มาในภาพยนตร์ปี 1981 เรื่องวุ่นรักไม่จบ (Endless Love) และเรื่องแท็ปส์ ตบเท้าปฏิวัติ (Taps) ในปีเดียวกัน
ต่อมาในปี 1983 ผู้กำกับชื่อดังฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา (Francis Ford Coppola) ก็เลือกครูซให้มาเป็นส่วนหนึ่งของแก๊งเด็กวัยรุ่นในภาพยนตร์เรื่อง ดิ เอ้าท์ไซเดอร์ แก๊งทรนง (The Outsiders) โดยได้แสดงกับเหล่านักแสดงอนาคตไกลในสมัยนั้นอย่าง ซี โธมัส โฮเวลล์ (C. Thomas Howell), แม็ตต์ ดิลลอน (Matt Dillon), แพทริก สเวซี (Patrick Swayze), ร็อบ โลว์ (Rob Lowe), เอมิลิโอ เอสเตเวซ (Emilio Estevez) และราล์ฟ มัคชิโอ (Ralph Macchio) ฝีไม้ลายมือของทีมนักแสดงได้รับผลตอบรับที่ดีมาก และเป็นการเปิดประตูสู่โปรเจกต์ต่าง ๆ มากมายให้แก่พวกเขาแต่ละคน
ความสำเร็จของกลุ่มขบถ (Rebels) กลุ่มนี้มันเยี่ยมยอดมากเสียจนในปีเดียวกันนั้นเอง ปี 1983 ครูซก็สามารถได้รับบทหลักในภาพยนตร์อีก 2 เรื่องตามมา ได้แก่ บริษัทรักไม่จำกัด (Risky Business) และ บ้าอเมริกันฟุตบอล (All The Right Moves) โดยทั้ง 2 เรื่องต่างเป็นภาพยนตร์ที่โดดเด่นมากในช่วงยุคปี 80 ส่งผลให้ครูซโด่งดังตั้งแต่ช่วงต้น ๆ ของการเข้าสู่วงการ
ปี 1986 เป็นปีที่ทอม ครูซได้รับบทนำแสดงในภาพยนตร์เรื่องท็อปกัน ฟ้าเหนือฟ้า (Top Gun) ภาพยนตร์ที่สร้างให้เขากลายเป็นซูเปอร์สตาร์อย่างแท้จริง ความสำเร็จของการผลิตภาพยนตร์เรื่องนี้มันยิ่งใหญ่มากเสียจนกระตุ้นให้วงการเช่าวิดีโอถือกำเนิดขึ้นมาในที่สุด ในปีเดียวกันนั้นเอง ครูซก็ได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่องเซียนสอนเซียน (The Color of Money) ซึ่งเป็นหนังของมาร์ติน สกอร์เซซี (Martin Scorsese) ที่ได้รับการเสนอชื่อเข้าร่วมชิงรางวัลออสการ์ถึงหลายรางวัลด้วยกัน
ต่อมาในปี 1988 เขายังได้ปรากฏตัวในภาพยนตร์เรื่อง ค๊อกเทล หนุ่มรินรัก (Cocktail) และ อัจฉริยะแห่งออทิสติก (Rain Man) ซึ่งภาพยนตร์เรื่องหลังสามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ถึง 4 รางวัล รวมถึงรางวัลสาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม (Best Picture) และครูซก็ได้รับคำสรรเสริญเยินยอมากมายจากนักวิจารณ์คนอื่น ๆ ถึงผลงานการแสดงของเขา
ในยุคปี 90 ครูซยังคงเข้าไปมีส่วนร่วมในภาพยนตร์เรื่องต่าง ๆ และประสบความสำเร็จในบ็อกซ์ออฟฟิศทั้งสิ้น หากครูซมาเป็นนักแสดงนำภาพยนตร์ในยุคนี้ ก็เรียกได้ว่าการันตีได้เลยว่าเขาจะต้องติดอันดับหนังทำเงินบล็อกบัสเตอร์อย่างแน่นอน ช่วงเวลาในยุคนั้น เขาได้รับบทนำในภาพยนตร์เรื่อง ซิ่งสายฟ้า (Days of Thunder), ไกลเพียงใดก็จะไปให้ถึงฝัน (Far and Away), เทพบุตรแวมไพร์ หัวใจรักไม่มีวันตาย (Interview with the Vampire: The Vampire Chronicles) และ เจอร์รี่ แม็คไกวร์ เทพบุตรรักติดดิน (Jerry Maguire) และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมาย
ปี 1996 เขาได้ปรากฏกายในภาพยนตร์เวอร์ชั่นของทีวีซีรีส์เรื่อง ผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก (Mission Impossible) ซึ่งประสบความสำเร็จทางพาณิชย์อย่างท่วมท้น ซึ่งทำให้เขาได้ทำภาคต่อในปี 2000 และ 2006 ต่อไปอีก นอกจากจะรับบทนำในภาพยนตร์เหล่านี้เองแล้ว ครูซก็ยังเป็นโปรดิวเซอร์เองอีกด้วย ซึ่งนั่นทำให้เขาทุ่มเทกับเรื่องราวในแต่ละภาคมากขึ้นไปอีก ในทุกภาค เขารับบทสตันต์ด้วยตัวเอง ซึ่งนั่นยิ่งเพิ่มความคาดหวังให้คนดูและผลลัพธ์ก็สะท้อนออกมาในรายได้บ็อกซ์ออฟฟิศนั่นเอง
ระหว่างช่วงยุคปี 2000 ทอม ครูซได้แสดงภาพยนตร์ทุกประเภทเลยก็ว่าได้ รวมถึงภาพยนตร์เรื่อง หน่วยสกัดอาชญากรรมล่าอนาคต (Minority Report), มหาบุรุษซามูไร (The Last Samurai), สกัดแผนฆ่า ล่าอำมหิต (Collateral), วอร์ ออฟ เดอะ เวิลด์ส อภิมหาสงครามล้างโลก (War of the Worlds), ดาราประจัญบาน ท.ทหารจำเป็น (Tropic Thunder) และ ยุทธการดับจอมอหังการ์อินทรีเหล็ก (Valkyrie) ถึงแม้ว่าส่วนมากแล้วภาพยนตร์เหล่านี้จะฮอตฮิตมากเพียงใดก็ตาม ก็ยังมีบางเรื่องที่ถือว่าเป็นข้อผิดพลาดไปบ้าง เช่น ภาพยนตร์เรื่อง ปมซ่อนเร้นโลกสะพรึง (Lions for Lambs) ซึ่งล้มเหลวด้านบ็อกซ์ออฟฟิศสุด ๆ
ในช่วงยุคปี 2010 ครูซก็แสดงภาพยนตร์สายลับเรื่องโคตรคนพยัคฆ์ร้ายกับหวานใจมหาประลัย (Knight and Day) และภาพยนตร์แนวนวนิยายวิทยาศาสตร์เรื่อง ซูเปอร์นักรบดับทัพอสูร (Edge of Tomorrow) และภาพยนตร์เรื่องผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ภาค 4 และ 5 ซึ่งติดอันดับหนังใหญ่ทำเงินบล็อกบัสเตอร์ ต่อมาในปี 2017 เขาได้อำนวยการผลิตและนำแสดงในภาพยนตร์ตัวประหลาดสุดคลาสสิกที่นำกลับมาสร้างใหม่เรื่อง เดอะ มัมมี่ (The Mummy) แต่นอกจากมันจะไม่สามารถทำเงินจากบ็อกซ์ออฟฟิศได้แล้ว ยังล้มเหลวอย่างรุนแรงอีกด้วย ปี 2018 ครูซก็กลับมาใหม่ในภาพยนตร์เรื่องผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ภาคที่ 6 ซึ่งได้รับการตอบรับจากคนดูดีมากและกลายเป็นภาพยนตร์ที่ทำรายได้สูงที่สุดในอาชีพของเขา โดยได้รายได้ถึงราว ๆ 28,447.5 ล้านบาท (791 ล้านดอลลาร์) จากบ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก
ทอมเริ่มต้นยุคปี 2020 ได้อย่างถูกจังหวะมาก ๆ โดยในปี 2022 ภาพยนตร์เรื่อง ท็อปกัน มาเวอริค (Top Gun: Maverick) ก็ได้เข้าฉาย ซึ่งเป็นภาคต่อจากภาพยนตร์เรื่องที่ทำให้เขาโด่งดังขึ้นมา ซึ่งเป็นเรื่องที่ได้รับการคาดหวังว่าจะเป็นหนังทำรายได้สูงสุดในอาชีพของเขา นอกจากนี้ เขาก็เพิ่งปล่อยตัวอย่างภาพยนตร์ใหม่ล่าสุดเรื่องผ่าปฏิบัติการสะท้านโลก ภาคที่ 7 ออกมา ซึ่งคาดว่าจะออกฉายในปี 2023 ตามมาด้วยภาคที่ 8 ในปี 2024
ทอม ครูซวางแผนอนาคตของตัวเองไว้อย่างมากมายเลยทีเดียว เขาอยากจะสร้างภาพยนตร์เรื่องแรกที่ถ่ายทำในอวกาศ ซึ่งเขาได้จับมือร่วมงานกับผู้บริหารของบริษัทท่องเที่ยวในอวกาศ สเปซเอ็กซ์ (SpaceX) เป็นที่เรียบร้อย ในตอนนี้ ทอม ครูซกำลังจะเข้าสู่วันครบรอบวันเกิดอายุ 60 ปีของเขาในอีกไม่กี่วัน แต่สิ่งที่เขามอบไว้ให้โลกใบนี้มันมากจนไม่อาจปฏิเสธได้เลยจริง ๆ ซึ่งเราแน่ใจเหลือเกินว่ายังมีสิ่งที่ดีที่สุดรออยู่อีกแน่ ๆ
คุณชอบภาพยนตร์เรื่องไหนของทอม ครูซมากที่สุด ? บอกเราได้ในช่องคอมเมนต์นี้เลย