เรื่องราวของแอนดี้ แมคดูเวลล์ที่พิสูจน์แล้วว่า ผู้หญิงไม่จำเป็นต้องต่อสู้กับการชะลอความร่วงโรยเพียงเพื่อให้ได้ชื่อว่าสวยตลอดกาล
แอนดี้ แมคดูเวลล์ (Andie MacDowell) นักแสดงสาวที่เราหลายคนต่างรู้จักเธอกันดีในบทบาทจากภาพยนตร์เ่รื่อง วันรักจงกลม (Groundhog Day) และเหยี่ยวแซงค์มือเทวดา (Hudson Hawk) ซึ่งในชีวิตจริงเธอก็เหมือนดังตัวละครของเธอมาก เธอคือสาวที่ฉลาดหลักแหลม บางครั้งก็ขี้อาย และมีนิสัยอันทรงเสน่ห์ ตอนนี้แอนดี้อายุ 64 ปีแล้ว และเธอก็กล่าวไว้ว่าเธอไม่เคยอายกับอายุของเธอแม้แต่น้อย
ชีวิตสดใสตัดสินใจที่จะเรียนรู้อีกนิดเกี่ยวกับเรื่องราวในชีวิตและอาชีพการงานของนักแสดงสาวผู้เปี่ยมไปด้วยพรสวรรค์คนนี้ ตลอดจนอยากรู้เกี่ยวกับทัศนคติที่เธอมีต่อรูปลักษณ์และอายุของตัวเอง
สาวน้อยของคุณแม่
แอนดี้ แมคดูเวลล์เกิดเมื่อวันที่ 2 เมษายน 1958 โดยกำเนิดจากคุณครูสอนดนตรีและผู้บริหารกิจการไม้แปรรูป โดยพ่อแม่ของเธอหย่ากันเมื่อเธอมีอายุได้ 6 ปี แอนดี้ภูมิใจในตัวคุณแม่ของตัวเองมาก เพราะแม่ยังกลับไปเรียนและได้รับประกาศนียบัตรกลับมาได้หลังจากคลอดลูกสาวถึง 4 คน
รูปภาพด้านซ้าย: แอนดี้ แมคดูเวลล์ (ทางขวา) ถ่ายกับคุณแม่และพี่สาว
เมื่อสมัยที่เรียนโรงเรียนมัธยมปลาย แอนดี้เคยอยู่ทีมเชียร์ลีดเดอร์ ระหว่างที่เธอยังเป็นเด็กสาววัยรุ่นนั้น เธอเคยทำงานพิเศษอยู่ที่ร้านอาหารฟาสต์ฟู้ด หลังจากจบจากโรงเรียนเมื่อปี 1976 เธอก็เข้าเรียนในวิทยาลัยวินทรอป (Winthrop College) และเรียนอยู่ที่นั่น 2 ปี
อาชีพนางแบบ
ระหว่างที่เธอกำลังเดินทางไปที่ลอสแอนเจลิส แอนดี้ แมคดูเวลล์มีแมวมองนางแบบมาทาบทาม และในปี 1978 เธอก็ได้เซ็นสัญญากับเอเจนซี่จัดหานางแบบ อีลิท โมเดล เมเนจเมนต์ (Elite Model Management)
ช่วงต้นยุคปี 1980 เธอได้ถ่ายแบบให้กับนิตยสารโว้ก (Vogue) และได้ปรากฏกายในแคมเปญโฆษณาของแบรนด์อีฟว์ แซ็ง โลร็อง (Yves Saint Laurent) และอาร์มานี่ (Armani) ในขณะนั้นเธอก็ได้พิสูจน์ตัวเองแล้วว่าเธอมีลักษณะที่พิเศษไม่เหมือนใครและมีความคิดสร้างสรรค์มากมายแค่ไหน มีอยู่ครั้งหนึ่งเธอเคยมาร่วมงานแฟชั่นโชว์โดยใส่เพียงแค่กางเกงยีนส์และเสื้อยืดเท่านั้น หลังจากได้เข้าไปมีส่วนร่วมในแคมเปญโฆษณาของแบรนด์คาลวิน ไคลน์ (Calvin Klein) ก็มีตัวแทนจากวงการภาพยนตร์ได้สังเกตเห็นเธอเข้า
ช่วงแรกของอาชีพการแสดง
แอนดี้ แมคดูเวลล์กับคริสโตเฟอร์ แลมเบิร์ท (Christopher Lambert) ในภาพยนตร์ผจญภัยเรื่องเกรย์สโตก ทาร์ซาน (Greystoke: The Legend of Tarzan, Lord of the Apes)
“ช่วงเรียนที่วิทยาลัยฉันเคยแสดงละครเวทีนะ และฉันก็รู้ตัวตั้งแต่ฉันยังเด็ก ๆ เลยว่าฉันอยากแสดงละคร” แอนดี้หวนนึกถึงอดีต และเธอก็ทำความฝันของเธอให้เป็นจริงได้จริง ๆ ในปี 1984 เมื่อเธอได้ถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องเกรย์สโตก ทาร์ซาน อย่างไรก็ตาม ความสำเร็จของเธอก็ยังไม่ชัดเจนนักเพราะบทพูดของเธอถูกพากย์ทับด้วยเสียงของนักแสดงหญิงอีกคน
สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกแย่ที่สุดคือการที่ไม่มีใครติเตียนว่ากล่าวการแสดงของเธอเลย ก่อนที่เธอจะมารู้ทีหลังว่าเสียงของเธอถูกเปลี่ยน แต่นั่นกลับทำให้เธอยิ่งตั้งมั่นมากขึ้นที่จะพิสูจน์ตนเองในวงการนี้ให้ได้ “ฉันรู้ดีว่าฉันคงต้องต่อสู้ฝ่าฟันอย่างหนักมากแน่ ๆ ฉันเลยไปลงเรียนหลายคลาสมาก และพัฒนาทุก ๆ แง่มุมในตัวฉันเลย” เธอกล่าว
แอนดี้กับเอมิลิโอ เอสเตเวซ (Emilio Estevez) ในภาพยนตร์เรื่องเซนต์ เอลโมส์ ไฟร์ (St. Elmo’s Fire)
บทบาทที่โดดเด่นมาก ๆ ของเธอคือบทบาทในภาพยนตร์โรแมนติกดราม่าเรื่องเซนต์ เอลโมส์ ไฟร์ซึ่งในขณะนั้นแอนดี้มีอายุ 27 ปี เธอรับบทเป็นแพทย์สาวที่ถูกนักศึกษากฎหมายที่หลงรักเธอเข้ามาจีบ
จุดสูงสุดของอาชีพ
ในช่วงต้นยุคปี 1990 ถือว่าเป็นจุดที่สูงส่งในชีวิตของนักแสดงสาวเลยทีเดียว เธอโด่งดังมากในปี 1993 หลังจากรับบทเป็นริต้า (Rita) ทีวีโปรดิวเซอร์ที่ฟิล (Phil) นักอุตุนิยมวิทยาหนุ่มตกหลุมรักในภาพยนตร์ตลกเรื่องวันรักจงกลม
นอกจากนั้น ยังมีภาพยนตร์ตลกอย่างเรื่องกรีนการ์ด (Green Card) ที่เล่นคู่กับเจอราร์ด เดอปาดิเอ (Gérard Depardieu) และเรื่องไปงานแต่งงาน 4 ครั้ง หัวใจนั่งเฉยไม่ได้แล้ว (Four Weddings and a Funeral) ที่เล่นคู่กับ ฮิวจ์ แกรนต์ (Hugh Grant) ซึ่งเป็นภาพยนตร์ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงยุคปี 90 ในภาพยนตร์เรื่องกรีนการ์ดนั้น แอนดี้รับบทเป็นนักจัดการพรรณพืชและนักสิ่งแวดล้อม ในขณะที่เรื่องไปงานแต่งงาน 4 ครั้ง หัวใจนั่งเฉยไม่ได้แล้ว เธอรับบทเป็นคนที่พระเอกสนใจ ซึ่งเธอได้พบกับชายผู้นั้นในงานแต่งงานงานหนึ่ง
การแต่งงานครั้งแรกและลูก ๆ
แอนดี้กับสามีของเธอ พอล ควอลลีย์ (Paul Qualley)
ในขณะที่อาชีพการแสดงของเธอกำลังพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุด นักแสดงสาวก็ได้แต่งงานกับพอล ควอลลีย์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทั้งคู่พบกันตอนที่ไปถ่ายงานโฆษณา ซึ่งพอลยังเป็นนายแบบอีกด้วย ถึงแม้ว่าแอนดี้จะบอกว่าเธอไม่ได้มีแผนที่จะมีลูก แต่เธอกับพอลก็มีลูกชายด้วยกัน 1 คนและลูกสาวอีก 2 คน
แอนดี้กับลูกชายของเธอ จัสติน
อ้างอิงจากคำบอกเล่าของมาร์กาเร็ต (Margaret) ที่เป็นลูกสาวของทั้งคู่ได้กล่าวไว้ว่า แอนดี้กับพอลนั้นต่างกันมาก พอลจะต่อต้านเทคโนโลยีสมัยใหม่ต่าง ๆ มาก ที่บ้านของเขา “ไม่มีทีวี ไม่มีคอมพิวเตอร์ ไม่มีไวไฟ ไม่มีไมโครเวฟ” ในขณะที่แอนดี้ชอบใช้ชีวิตกับเทคโนโลยีมากกว่า
แอนดี้กับลูกสาวทั้ง 2 คนของเธอ เรนนี่ (Rainey) และมาร์กาเร็ต
เรนนี่กับมาร์กาเร็ตเดินตามรอยของคุณแม่ด้วยการกลายเป็นนักแสดงเช่นกัน โดยลูกสาวคนโต เรนนี่ เคยแสดงในภาพยนตร์เรื่องโอเชียน 8 (Ocean’s 8) นอกจากนี้เธอยังเป็นนักร้อง ซึ่งเคยออกเพลงและเขียนเพลงโดยใช้ชื่อว่า เรนส์ฟอร์ด (Rainsford)
ส่วนน้องสาวของเธอ มาร์กาเร็ต เคยได้รับการเสนอชื่อเข้ารับรางวัลเอมมีและลูกโลกทองคำ โดยเคยร่วมแสดงในภาพยนตร์ยอดนิยมมากมาย ยกตัวอย่างเช่นเรื่องกายส์...นายแสบมาก (The Nice Guys) และกาลครั้งหนึ่งใน...ฮอลลีวู้ด (Once Upon a Time in Hollywood)
ความล้มเหลวในชีวิตส่วนตัวและหน้าที่การงาน
แอนดี้กับสามีคนที่สองเรตต์ ฮาร์ตซอก (Rhett Hartzog)
ในฤดูร้อนปี 1999 แอนดี้ก็ได้พบกับอดีตเพื่อนร่วมชั้นเรียนสมัยม.ปลาย ที่ตอนนั้นเป็นนักธุรกิจหนุ่มที่มีชื่อว่าเรตต์ ฮาร์ตซอก ไม่นานหลังจากที่ได้พบกัน เขาก็ขอเธอแต่งงาน “ผมแอบรักเธอมาตั้งแต่สมัยเรียนม.ปลายแล้ว” เขากล่าว ทั้งคู่แต่งงานกันในปี 2001 และหย่ากันใน 3 ปีต่อมา
“ยิ่งคุณปล่อยวางความโกรธได้เร็วมากขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งดีกับคุณมากขึ้นเท่านั้น ชีวิตยังคงต้องดำเนินต่อไปแม้หลังจากการหย่าร้าง” นักแสดงสาวกล่าว
ช่วงเวลานั้นนับว่าเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากไม่เพียงแค่กับชีวิตส่วนตัวของแอนดี้เท่านั้น แต่ยังรวมถึงอาชีพการงานของเธออีกด้วย ภาพยนตร์สองสามเรื่องที่เธอรับบทนำพากันล้มเหลวโดยอ้างอิงจากผู้ชมและนักวิจารณ์ หนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้นรวมถึงเรื่องทาวน์ แอนด์ คันทรี (Town & Country) ที่นับว่าเป็นภาพยนตร์ที่ประสบความล้มเหลวในบ็อกซ์ออฟฟิศมากที่สุดในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์เรื่องหนึ่งเลยก็ว่าได้
“ฉันอาจไม่ได้เป็นนักแสดงหลักอีก หรืออาจจะไม่ได้รับบทนำเหมือนที่เคยได้ เพราะภาพยนตร์หลายเรื่องเกี่ยวข้องกับวัยหนุ่มสาวกันทั้งนั้น แต่ฉันไม่ยอมที่จะเดินจากไปแบบนี้หรอก เพราะฉันรักมันมาก ฉันจะหาทางหางานให้ได้เองนั่นแหละ” นักแสดงสาวจะพูดเช่นนี้เมื่อมีใครถามถึงอายุของเธอ
การยอมรับความโรยรา
เมื่อนักแสดงสาวเข้าสู่อายุ 40 ปี มีนักข่าวคนหนึ่งถามเธอว่ารู้สึกยังไงที่อายุเพิ่มขึ้นและความสวยเริ่มจางหายไป ซึ่ง
แอนดี้ แมคดูเวลล์โกรธมาก “ไม่อยากจะเชื่อเลยจริง ๆ ! ฉันไม่เห็นรู้สึกเลยว่าฉันเสียความงดงามอะไรไป มันแค่เป็นความงามในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้น”
เธอยังกล่าวอีกว่ามีอยู่ครั้งหนึ่งที่เธอเคยไปลองทำโบท็อกซ์เช่นกัน แต่ตั้งแต่นั้นมาเธอก็ปฏิเสธที่จะทำการเสริมความงามใด ๆ บนใบหน้าและชอบความงดงามตามธรรมชาติมากกว่า “ฉันคงต้องบอกว่า ฉันไม่เคยรู้สึกสวยเท่านี้มาก่อน ฉันไม่ได้บอกนะว่าทุกคนต้องทำแบบนี้ เพียงแค่สิ่งนี้มันเหมาะกับฉันเท่านั้น” แอนดี้กล่าวไว้เมื่อเธอมีอายุได้ 63 ปี
แอนดี้กับลูกสาว เรนนี่
ทุกวันนี้ เธอยังคงดึงดูดความสนใจจากผู้ชมได้ไม่เพียงเพราะความสามารถอันเปี่ยมล้นของเธอเท่านั้น แต่ยังด้วยทัศนคติของเธอต่อการร่วงโรยไปตามวัยอีกด้วย ก่อนหน้านี้ผมสีน้ำตาลหยักศกของแอนดี้ แมคดูเวลล์เคยเป็นเครื่องหมายการค้าประจำตัวเธอมาโดยตลอด แต่แล้วทุกคนก็ต้องพากันแปลกใจเมื่อในปี 2011 นักแสดงสาวคนนี้ได้ปรากฏโฉมบนพรมแดงในเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ด้วยผมสีเทา
ต่อมาแอนดี้ก็ได้สารภาพว่าเธอเคยหยุดพักจากการทำงานไปช่วงหนึ่ง เธอหยุดย้อมสีผม และเมื่อลูก ๆ เห็นสีผมตามธรรมชาติของเธอแล้วก็ต่างพูดส่งเสริมให้เธอรักษาสีผมนี้ไว้ เพราะพวกเขาคิดว่ามันเจ๋งมาก ตอนที่นักแสดงสาวแจ้งผู้จัดการว่าเธอจะเปลี่ยนรูปลักษณ์ของตัวเอง พวกเขาก็เริ่มพากันคัดค้าน ซึ่งแอนดี้โมโหมาก “ทำไมผมสีเทาของฉันถึงเป็นปัญหานักแต่ผมของจอร์จ คลูนีย์กลับไม่เป็นอะไร ?” และในที่สุดเธอก็ได้ในแบบที่เธอต้องการ
“มันเกิดขึ้นรวดเร็วมาก เพราะพอคุณรู้สึกว่าทุกอย่างมันคงจบแล้ว คุณคงไม่มีทางได้ทำงานอีก คุณกำลังหวาดกลัว แต่แล้วทันใดนั้นผู้คนกลับชอบในสิ่งที่คุณทำ และคุณก็ได้บทหนังดี ๆ มาและก็เริ่มรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่อีกครั้ง แบบว่า ’โอ้ ว้าว โอเค ฉันยังไม่ตายนะเนี่ย’” นักแสดงสาวกล่าวไว้
ซึ่งนั่นเป็นเรื่องจริง อีกไม่นานเราก็จะได้เห็นแอนดี้ได้ร่วมโปรเจกต์อีกสองสามอย่าง ซึ่งไม่นานมานี้เธอก็ได้รับแสดงร่วมกับลูกสาว มาร์กาเร็ต ในทีวีซีรีย์เรื่องเมด (Maid) อีกด้วย
เราแน่ใจเป็นอย่างยิ่งว่าเราจะได้เห็นนักแสดงสาวคนนี้ในภาพยนตร์ที่น่าสนใจเรื่องอื่น ๆ อีกหลายเรื่องแน่ และแอนดี้เองก็ดูเหมือนจะมองอนาคตของตัวเองไว้ในแง่ดีมาก ๆ “ทุกคนต่างมีเส้นทางเดินเป็นของตัวเอง บางทีอาจจะมีอะไรเจ๋ง ๆ เกิดขึ้นกับชีวิตฉันตอนที่ฉันอายุ 70 ปีก็เป็นได้”
คุณชอบภาพยนตร์ที่แอนดี้ แมคดูเวลล์นำแสดงเรื่องไหนมากที่สุด ? คุณชอบให้วัยร่วงโรยตามธรรมชาติ หรือคุณคิดว่าจะใช้ประโยชน์จากการเสริมความงามต่าง ๆ จะดีกว่า ? บอกเราได้ในคอมเมนต์ได้เลย