20 กว่าข้อเท็จจริงอันน่าตกตะลึง เกี่ยวกับชีวิตในสวิตเซอร์แลนด์ที่พวกเราไม่เคยรู้
เป็นเวลาหลายปีมาแล้วที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถูกมองว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุดสำหรับการอยู่อาศัย ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกอะไรเลย เพราะนี่คือประเทศที่มีทั้งความสะดวกสบาย ไหนจะมีทิวทัศน์ธรรมชาติที่น่าตื่นตะลึงอีก คุณสามารถเลิกงานกลับออกมาจากออฟฟิศ แล้วตรงไปว่ายน้ำเล่นในทะเลสาบได้ในอีก 15 นาทีต่อมา แต่นอกจากชื่อเสียงด้านวิวทิวทัศน์ที่แสนตระการตา ช็อกโกแลตที่แสนอร่อย อีกทั้งยังมีธนาคารที่แสนจะน่าเชื่อถือ รู้หรือไม่ว่าประเทศนี้ยังมีสิ่งอื่น ๆ ที่จะทำให้ผู้มาเยือนได้แปลกใจอีกมากมาย
ชีวิตสดใสจะพาคุณลงลึกเข้าไปในวัฒนธรรมของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อดูซิว่าผู้คนที่อยู่อาศัยในประเทศที่จัดว่าเป็นประเทศหนึ่งที่ร่ำรวยที่สุดในโลกนั้นมีความเป็นอยู่กันอย่างไร ในช่วงโบนัส คุณจะได้เห็นรูปภาพต่าง ๆ ที่จะแสดงให้เห็นว่าคนท้องถิ่นในประเทศนี้เป็นคนที่ใส่ใจในรายละเอียดมากขนาดไหน เมื่อเป็นเรื่องของความสะดวกสบาย ไม่ใช่แค่เพื่อความสะดวกสบายของตัวเองเพียงอย่างเดียวนะ แต่สัตว์เลี้ยงของพวกเขาก็ต้องสบายด้วย
1. มีบางคนที่ไม่เชื่อว่าประเทศนี้ค่าครองชีพแพงจริง ๆ ก่อนที่จะมาที่นี่
1 ฟรังก์สวิส = 37 บาท (1.13 USD)
ดูเหมือนว่าเงินเดือนในประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะดูสูงมากเป็นพิเศษ แต่ความรู้สึกนี้จะจางหายไปในทันทีเลยเมื่อคุณได้เห็นราคาข้าวของที่วางขายที่นี่ แม้แต่ของที่ดูธรรมดาสุด ๆ ในซูเปอร์มาร์เก็ตก็ยังแพง ยกตัวอย่างเช่น เนื้อ 1 กิโลกรัม สามารถมีราคาอยู่ที่ประมาณ 40 ฟรังก์ (1,480 บาท หรือ $45) ซึ่งคุณอาจประหยัดเงินได้นิดหน่อยหากคุณไปซื้ออาหารในซูเปอร์มาร์เก็ตที่เป็นเครือของชาวเยอรมัน
ผู้หญิงคนหนึ่งย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ และนี่คือสิ่งเธอคิด “หลังจากย้ายไปอยู่ที่เจนีวา ฉันเอาแต่คิดถึงเรื่องราคาทุกอย่างตลอดเวลา โดยต้องนึกเปรียบเทียบกับราคาที่ประเทศฉัน แต่โชคดีสำหรับระบบประสาทฉันแล้วล่ะ ที่ฉันเลิกคิดเรื่องนั้นไปได้ซะที”
2. แต่ราคาข้าวของที่นี่คงที่นะ
ในร้านค้าทุกแห่ง ราคาสินค้าจะคล้ายกันมาก ทางเดียวที่จะประหยัดเงินได้ก็คือต้องซื้อของในตอนที่มันลดราคา ร้านค้าส่วนมากมักจะลดราคา 50% สำหรับสินค้าบางประเภทที่ใกล้หมดอายุ
มีชายคนหนึ่งจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้แบ่งปันประสบการณ์ของเขาเอาไว้ว่า “น่าขันที่ราคาน้ำมันในสวิสถูกมาก เมื่อปี 1979 ผมจำได้ว่าตัวเองจ่ายไปลิตรละ 1.20 ฟรังก์ (44 บาท) และเมื่อผ่านไป 4 ทศวรรษ ราคาก็ยังคงถูกจนน่าแปลกใจ อยู่ที่ 1.70 ฟรังก์ (63 บาท)”
3. การเช่าอพาร์ตเมนต์สักห้องนึงเป็นเรื่องที่ท้าทายอย่างหนึ่ง
เจ้าของห้องเช่าอพาร์ตเมนต์ต่าง ๆ นั้นเรื่องมากสุด ๆ พวกเขามักขอเอกสารมากมายที่จะยืนยันได้ว่าผู้เช่ามีความสามารถที่จะจ่ายได้ หากคุณไม่มีงานทำและไม่มีประกัน แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะหาที่ดี ๆ อยู่ได้ บ่อยครั้งที่เจ้าของห้องมักขอการรับรองจากนายจ้างอีกด้วยว่าคุณเป็นคนที่เชื่อถือได้จริง ๆ
มีสาวน้อยคนหนึ่งที่ย้ายไปอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์พูดไว้แบบนี้ “ค่าห้องอพาร์ตเมนต์ในสวิตเซอร์แลนด์มีราคาสูงมากจริง ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากคุณอยากได้ที่ที่อยู่ใกล้กับตัวเมืองหรือใกล้กับทะเลสาบ แต่เอาเข้าจริงแม้แต่ในเมืองเล็ก ๆ ที่ดี ๆ ก็ยังแพงอยู่ดี”
นายจ้างส่วนใหญ่จะเข้าใจว่าเวลาย้ายบ้านนั้น ผู้คนต้องผจญกับปัญหามากมายแค่ไหน ดังนั้นพวกเขาเลยมักจะให้วันหยุดแก่ลูกจ้างเพื่อไปย้ายบ้านเสียเลย มีคู่รักคู่หนึ่งที่ย้ายไปอยู่ที่ซูริค ซึ่งประสบการณ์ในการมองหาห้องอพาร์ตเมนต์ติดอยู่ในใจพวกเขามิรู้ลืมเลย “ตอนแรกฉันก็มองหาห้องด้วยตัวเองคนเดียว ซึ่งหาไม่ได้เลย
หลังจากนั้น ฉันก็เลยจ้างนายหน้าที่มีราคาโหดหินสุด ๆ แต่ในท้ายที่สุดฉันก็ไปได้ห้องอพาร์ตเมนต์ดี ๆ ด้วยตัวฉันเอง ฉันได้ห้องนั้นก็เพราะว่าฉันติดสินบนผู้เช่าคนก่อน ด้วยการยอมจ่ายเงินซื้อเฟอร์นิเจอร์ทั้งหมดของเขา ทำให้เขาไม่ได้บอกเจ้าของที่ว่ามีคนอื่นที่สนใจห้องนี้เหมือนกัน ตอนที่เซ็นสัญญา เราต้องแสดงเอกสารที่ยืนยันว่าเราไม่ได้มีหนี้สินอะไรอีกด้วย”
4. ผู้คนในสวิตเซอร์แลนด์เอาใจใส่กับเรื่องประกันมาก
คนท้องถิ่นจะต้องมีประกันสุขภาพและต้องจ่ายเงินค่าประกันส่วนนั้นเอง มีหญิงสาวคนหนึ่งซึ่งย้ายไปอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์กับครอบครัวของเธอได้เล่าไว้ว่า “ทุกคนที่นี่จะต้องจ่ายภาษีเพื่อการแพทย์อะไรสักอย่าง โดยผู้ใหญ่จะต้องจ่าย 2,500 ฟรังก์ (92,500 บาท หรือ $ 2,800) ซึ่งสิ่งนี้จะทำให้พวกเขาสามารถใช้บริการทางการแพทย์ได้ฟรี แต่ทันตกรรมจะแยกกันนะ ซึ่งเป็นเงินจำนวนที่บ้าบอมาก ๆ เลยเหอะ !”
5. ประกันสุขภาพแพง ๆ ไม่ได้รับประกันว่าจะรักษาคุณอย่างเข้มข้นเป็นพิเศษแต่อย่างใด
การแพทย์ที่นี่ให้ความสำคัญกับคำว่า “ห้ามทำให้เกิดอันตราย (do no harm)” ดังนั้นถ้ามีโอกาสที่ไม่ควรเข้าไปแทรกแซงใด ๆ แพทย์ก็จะไม่ทำ เท่ากับว่าจะไม่มีหมอคนไหนในสวิตเซอร์แลนด์ที่จะเขียนใบสั่งยาหรือให้แนวทางการรักษาใด ๆ ที่ไร้ประโยชน์เป็นอันขาด คนท้องถิ่นจะไม่มีการไปตรวจร่างกายเป็นประจำ เพราะมันแพงมาก ถ้าคุณป่วย คุณค่อยไปหาหมอเกี่ยวกับอาการป่วยนั้น
สาวน้อยคนหนึ่งอาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ได้เล่าเกี่ยวกับการไปหาหมอไว้ดังนี้ “ฉันจำได้ว่าตอนนั้นฉันไอหนักมาก มากจนกระทั่งนอนยังไม่ได้ หลังจากรออยู่ 6 ชั่วโมง หมอแค่เขียนใบสั่งให้ฉันเป็นยาอมแก้ไอ ซึ่งฉันต้องจ่ายเงินไป มากกว่า 300 ฟรังก์ (11,100 บาท) เพื่อยาอมแก้ไอพวกนี้เท่านั้น”
6. เป็นเรื่องปกติมากที่จะไปหาหมอและไปซื้ออาหารที่ประเทศอื่นแทน เพื่อเป็นการประหยัดเงิน
คนสวิสหลายคนที่อาศัยอยู่ใกล้ประเทศเยอรมัน ฝรั่งเศสและอิตาลีมักจะไปที่ประเทศเหล่านี้เพื่อไปซื้ออาหารที่นั่น นอกจากนี้พวกเขายังไปซื้อเสื้อผ้าที่นั่น แต่ก็มีการจำกัดจำนวนสินค้าต่าง ๆ ที่คุณสามารถนำเข้ามาในประเทศได้อยู่นะ
ยกตัวอย่างเช่น คุณห้ามนำผักและผลไม้เข้าประเทศเกิน 20 กก. นมสดต้องไม่เกิน 5 ลิตร และน้ำผลไม้ไม่เกิน 3 ลิตร นอกจากนี้ คุณห้ามเคลื่อนย้ายเนื้อเกิน 0.5 กก. อีกด้วย แน่นอนว่าถ้าคุณเดินทางไปกับคนอื่นอีกคน คุณจะสามารถนำของเหล่านี้เคลื่อนย้ายข้ามประเทศได้เป็นสองเท่า
7. ค่าปรับนับเป็นอีกหนึ่งประเด็นทางการเงินที่ซับซ้อน
เกือบทุกแยกในซูริคจะมีกล้องติดตั้งอยู่ ซึ่งกล้องเหล่านี้จะบันทึกภาพทุก ๆ การแหกกฎเล็ก ๆ น้อย ๆ เลยทีเดียว หากคุณฝ่าฝืนหนึ่งในกฎเหล่านั้น คุณจะได้รับการแจ้งเตือนทางอีเมลว่าคุณจะต้องไปจ่ายค่าปรับ ค่าจอดรถที่นี่ก็แพงมากเช่นกัน และคุณสามารถจอดรถทิ้งไว้ข้างนอกได้เพียงชั่วโมงครึ่งเท่านั้น นี่คือสาเหตุว่าทำไมผู้คนมากมายถึงเลิกขับรถยนต์และหันมาใช้บริการขนส่งสาธารณะและขี่จักรยานแทน
แต่ค่าปรับไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ขับรถเท่านั้นหรอกนะ คุณสามารถโดนปรับได้ไม่ว่าจะมีการละเมิดกฎหมายข้อไหน ๆ ก็ตาม ซึ่งเรื่องราวของบล็อกเกอร์คนหนึ่งได้พิสูจน์เรื่องนี้ไว้แล้ว “เมื่อวันก่อนในซูริค มีผู้หญิงคนหนึ่งขึ้นรถไฟและซื้อตั๋วผ่านแอป แต่กระเป๋ารถไฟบอกว่าตั๋วนี้ใช้ไม่ได้แล้วเพราะเพิ่งซื้อ 38 วินาทีหลังจากที่รถไฟออกตัว เด็กสาวคนนั้นพยายามจะอธิบายว่าอินเทอร์เน็ตมันช้ามาก และเธอก็มีตั๋วแล้วนี่ไง แต่กระเป๋ารถไฟก็ให้ใบสั่งกับเธออยู่ดี โดยที่เธอต้องเสียค่าปรับเป็นเงิน 30 ฟรังก์ (1,110 บาท) แทนที่จะต้องจ่าย 90 ฟรังก์ (3,330 บาท) (ซึ่งเป็นค่าปรับที่ต้องจ่ายหากคุณไม่มีตั๋ว) ซึ่งตั๋วรถไฟมีราคา 8.6 ฟรังก์ (318 บาท) คุณว่าเรื่องนี้มันบ้าบอหรือยุติธรรมดีแล้ว ?”
8. สามีต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูภรรยาเก่าด้วยนะถ้าเกิดหย่ากันขึ้นมา
ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีกฎหมายที่บังคับให้สามีต้องจ่ายค่าเลี้ยงดู ซึ่งไม่เพียงแต่ต้องจ่ายให้ลูกนะ แต่ยังต้องจ่ายให้ภรรยาเก่าด้วยหากมีการหย่าร้าง จริง ๆ แล้วฝ่ายที่จะต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูคือฝ่ายที่มีรายได้มากกว่า ซึ่งส่วนมากแล้วจะเป็นผู้ชายที่ต้องจ่ายเงินส่วนนี้ให้แก่อดีตภรรยาของตนเอง
9. ทางม้าลายที่เมืองเบิร์นเต็มไปด้วยคริสตัลสวารอฟสกี้เลยนะ
ในขณะที่กำลังทาสีทางม้าลายนั้น คนงานจะผสมสีทาสีเหลืองกับคริสตัลสวารอฟสกี้ (Swarovski) เข้าไปด้วย ซึ่งจะช่วยให้ทางม้าลายนี้สะท้อนแสงไฟได้ดียิ่งขึ้นในยามค่ำคืน ทางม้าลาย 1 ตารางเมตรจะต้องใช้คริสตัล 500 กรัม การมองเห็นที่ดีที่สุดจะเกิดขึ้นก็ต่อเมื่อคริสตัลส่วนใหญ่ถูกผสมอยู่ในสี โดยมีคริสตัลเพียง 1/3 ที่จะอยู่ภายนอก
10. ถังขยะแยกประเภทของคนท้องถิ่นกับการรักษาทุกสิ่งทุกอย่างให้สะอาดอยู่เสมอ
“ฉันเจอถังขยะใส่กล่องพิซซ่าในสวิตเซอร์แลนด์ด้วยแหละ”
การแยกขยะขั้นต่ำที่จำเป็นต้องมีคือต้องมีการแยกแก้ว กระดาษ พลาสติกและขยะอินทรีย์ (ชีวิตสดใส: เช่น เศษอาหาร) แต่นอกจากนี้ก็ยังมีถังขยะแยกยิบย่อยลงไปอีกสำหรับปลา กระดูกติดเนื้อ ขวดครีมและน้ำยาทำความสะอาด และแก้วกาแฟ คนส่วนมากจะต้องมองหาถังขยะพวกนี้เพราะถ้าคุณทิ้งขยะให้ถูกถัง ก็จะไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ แต่ถ้าคุณเก็บรวม ๆ ขยะหลายชนิดไว้ในถุงเดียวและเอาไปทิ้ง คุณต้องมีถุงขยะแบบพิเศษ ซึ่งมีราคา 1 ฟรังก์ (37 บาท) ต่อขยะ 20 ลิตร หากต้องการจะทิ้งของชิ้นใหญ่ อย่างเช่นล้อรถเก่า คุณต้องขับไปทิ้งที่ลานทิ้งขยะและต้องจ่ายเงินประมาณ 1,200 บาท ($35)
- นี่คือสิ่งที่อยู่ใต้อ่างล้านจาน ช่องใหญ่ ๆ ด้านซ้ายมือคือขยะที่ปนรวมกัน ขวาบนคือถ่านไฟฉาย ลงมาจากด้านบนคือภาชนะไว้ใส่เศษขยะอินทรีย์และพวกขยะที่ย่อยสลายได้ทั้งหลาย © demena / Pikabu
“ฉันเคยพบผู้ชายสวิสคนหนึ่งที่มาเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่รัสเซีย ตอนนั้นเรากำลังเดินเล่นกันกับเพื่อน ๆ ฉันและเราก็ชวนให้เขามาเดินเล่นด้วยกัน มีผู้ชายคนหนึ่งพูดขึ้นว่า ‘ฉันไม่เคยไปที่สวิตเซอร์แลนด์เลย แต่ฉันรู้ว่ามันสะอาดสุด ๆ เลยที่นั่น’ แต่แล้วชายชาวสวิสกลับมองเขาราวกับชายคนนั้นบ้าไปแล้วและพูดว่า ‘นายล้อเล่นรึเปล่าเนี่ย ? มันก็แค่ความเชื่อเหมารวมเท่านั้นแหละน่า !’ ลองเปิดแผนที่ในกูเกิ้ลแมพส์ดูสิ ไปยังหมู่บ้านเล็ก ๆ ในเทือกเขาแห่งหนึ่ง แล้วพวกนายก็จะรู้เองว่ามันแย่แค่ไหน” เราเอาแล็ปท็อปมาลองเปิดดู และนี่คือภาพที่เราเห็น:
“แต่นี่มันเจ๋งมากเลยเหอะ !”
“ใช่ ฉันหลอกพวกนายเล่นน่ะ มันยอดเยี่ยมทุกที่แหละ” © Annike09 / Pikabu
11. อาหารยอดนิยมในสวิตเซอร์แลนด์
ราคาอาหารของที่นี่สูงมากเพราะที่นี่ไม่มีวัตถุดิบห่วย ๆ แต่อย่างใด รัฐบาลสนับสนุนเกษตรกรเป็นอย่างดี มีกฎหมายคุ้มครองสัตว์ต่าง ๆ นั่นคือสาเหตุว่าทำไมจึงไม่มีเนื้อราคาถูกที่นี่ มีเพียงเนื้อที่คุณภาพสูงเท่านั้น ผักและชีสในสวิตเซอร์แลนด์ก็ยอดเยี่ยมมาก คนสวิสชอบกินชีสและมักจะมีชีสอยู่ในอาหารหลายชนิด
มีหญิงสาวที่อาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์คนหนึ่งเคยพูดไว้ว่า “ฉันเฉย ๆ กับชีสและช็อกโกแลตนะ ร้านไอศกรีมเมอเวนพิค (Mövenpick) ของที่นี่ก็ไม่ได้อร่อยขนาดนั้น แต่ฉันชอบขนมปังมาก ถึงแม้มันจะแพงเอาเรื่องก็ตาม ให้ฉันกินทั้งก้อนยังได้เลย มันอร่อยมากจริง ๆ แถมอยู่ได้นานมาก ๆ โดยไม่เสียด้วย”
ตู้ขายชีสอัตโนมัติ
12. ที่นี่มีภาษาทางการหลายภาษามาก
ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีภาษาทางการถึง 4 ภาษา ได้แก่ ภาษาฝรั่งเศส เยอรมัน อิตาเลียน และภาษาโรมานช์ (Rhaeto-Romance) ขึ้นอยู่กับว่าคุณไปที่เมืองไหน ภาษาก็จะเปลี่ยนแปลงไปตามท้องถิ่นนั้น ๆ แต่คนส่วนมากที่นี่จะพูดได้หลายภาษาอยู่แล้ว ภาษาเยอรมันของคนท้องถิ่นที่นี่ยังต่างจากภาษาเยอรมันที่พูดกันในประเทศเยอรมันอีกด้วยนะ
หญิงสาวคนหนึ่งที่เคยอาศัยอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์เป็นเวลา 2 ปี เคยสังเกตเห็นว่า “การออกเสียงยอดนิยมของชาวเยอรมันที่ถูกเรียกว่าสำเนียงโฮคด๊อยช์ (hoch Deutsch) (ซึ่งแปลว่า ‘ชาวเยอรมันชั้นสูง’) ที่เป็นคำเรียกภาษาเยอรมันแบบดั้งเดิมของแท้นั้นเป็นการลบหลู่คนสวิสเป็นอย่างมาก ดังนั้น ชาวสวิสจึงทำให้ไวยากรณ์ต่าง ๆ ในภาษาเยอรมันเรียบง่ายขึ้น และพวกเขาจะไม่ใช้คำนำหน้านามและคำลงท้ายใด ๆ”
13. ผู้คนมักใช้เวลาส่วนมากออกไปข้างนอก
ในวันอาทิตย์ ชีวิตที่นี่จะหยุดนิ่ง ซึ่งไม่ใช่เพราะร้านค้าและร้านอาหารต่างปิดในวันนี้เท่านั้น แต่ทุกคนต่างต้องการวันหยุด รวมไปถึงคนที่ทำงานในร้านอาหารด้วย
มีหญิงสาวอีกคนหนึ่งที่อยู่อาศัยในสวิตเซอร์แลนด์ได้แบ่งปันเรื่องราวเอาไว้ว่า “ที่เมืองเบิร์กดอร์ฟ (Burgdorf) คุณจะไม่เห็นใครในตอนเช้าเลย บางทีอาจจะเห็นแค่เจ้าของสุนัข 2 — 3 คนพาสุนัขของตัวเองออกมาเดินเล่น ตอนนั้นฉันช็อกมากแล้วไม่เข้าใจเลยว่าคนอื่นไปไหนกันหมด ต่อมาฉันถึงเพิ่งเข้าใจว่าพวกเขาออกนอกเมืองไปทันทีที่ไปได้ หรือไม่ก็ใช้เวลาดูทีวีอยู่ด้วยกัน”
สภาพภูมิอากาศและธรรมชาติของที่นี่แตกต่างกันไปในแต่ละภาค มีความเชื่อเหมารวมอยู่บ้างว่าสวิตเซอร์แลนด์ต้องเป็นประเทศที่มีแต่เทือกเขา วัวตัวอ้วน ๆ และมีสายธาราแห่งช็อกโกแลต แต่ในหุบเขาบางแห่ง ก็ยังมีต้นปาล์มที่ปกติมักเจริญเติบโตอยู่ริมทะเลอยู่ด้วย ซึ่งผู้คนจะปลูกกีวี่และกล้วยกันที่นั่น
14. คนที่อยู่ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ต้องทำตามกฎเกณฑ์มากมาย
ที่นี่มีกฎเกณฑ์หลายข้อที่เข้มงวดมาก ยกตัวอย่างเช่น เมื่อคุณย้ายเข้าไปอยู่ในอพาร์ตเมนต์แห่งใหม่ คุณจะต้องเอาชื่อเข้าในทะเบียนบ้านภายใน 3 วัน รวมถึงต้องอ่านกฎทุกข้อ เช่น ในบ้านบางหลัง คุณห้ามอาบน้ำตอนค่ำ ห้ามแม้กระทั่งกดชักโครก กฎที่ว่าคุณไม่สามารถอาบน้ำหลังสี่ทุ่มได้นั้นเป็นกฎที่ผู้คนมักจะทำตาม โดยตอนที่ฉันถามผู้ชายชาวสวิสคนหนึ่งว่าทำไมถึงต้องมีกฎแบบนั้นด้วย เขาก็ทำหน้าจริงจังและตอบฉันว่า “เพราะน้ำทำให้เกิดเสียงรบกวนและจะทำให้คนข้างห้องนอนไม่หลับน่ะสิ” ผู้ใช้เว็บไซต์ปิคาบู (Pikabu) กล่าวไว้
ถุงขยะ
คุณไม่สามารถทิ้งขยะในถุงแบบอื่นได้ เพราะจะไม่มีใครเก็บมันไปเด็ดขาด และมีความเป็นไปได้เป็นอย่างมากที่คุณจะถูกปรับหรือโดนเตือน กฎขำ ๆ อีกข้อหนึ่งก็คือคุณจะต้องซื้อถุงสำหรับใส่ขยะในเขตเดียวกับที่คุณพักอาศัยด้วยนะ มีหญิงสาวคนหนึ่งได้อธิบายประสบการณ์ของเธอไว้ดังนี้ “ตอนที่เราย้ายมาอยู่ที่นี่ เราได้คู่มือ 87 หน้าเป็นภาษาเยอรมันมา พออ่านไปได้หน้า 3 ฉันก็เบลอละ แล้วยังพลาดรายละเอียดสำคัญเกี่ยวกับกฎเกณฑ์การทิ้งขยะนี่ไปด้วย สัปดาห์แรกของเรา เราก็โดนปรับไปแล้ว 65 ฟรังก์ (2,400 บาท) เพราะปรากฏว่าทุกเขตต่างมีถุงขยะแต่ละสีเป็นของตนเอง เพื่อนบ้านเห็นถุงขยะสีดำของฉันท่ามกลางถุงสีขาวส้มของชุมชน ก็เลยไปร้องเรียน”
15. เจ้าหน้าที่ดูแลใส่ใจความปลอดภัยของผู้คนดีมาก
บ้านทุกหลังจะมีที่หลบระเบิดอยู่ ซึ่งเป็นห้องที่มีระบบระบายอากาศเสริมด้วยบล็อกคอนกรีต นอกจากนี้ยังมีที่หลบระเบิดสาธารณะสำหรับคนหลายคน โดยมีน้ำเปล่าเตรียมไว้ให้คนละ 9 ลิตร แถมยังมีขนมปังกรอบ ไม้ขีดไฟ และเวชภัณฑ์อีกด้วย
นอกจากนี้ ผู้คนจะได้รับยาพิเศษหากระดับรังสีเพิ่มขึ้น ซึ่งผู้ใช้เว็บไซต์ปิคาบูได้เล่าว่า “ฉันเจอยาเสริมไอโอดีนแพ็คหนึ่งอยู่ในตู้จดหมายของฉัน โดยฝ่ายเภสัชกรรมของกองทัพเป็นผู้ที่ส่งมาให้ ฉันเปิดห่อด้วยความที่อยากจะลองกินสักเม็ดหนึ่ง แต่สามีหยุดฉันไว้และพูดว่าเราได้รับไอโอดีนจากเกลือเพียงพอแล้ว ซึ่งจำนวนโดสที่ส่งมามันบ้ามากเลยนะ ปรากฏว่ายาเสริมไอโอดีนฟรีเหล่านี้ถูกแจกจ่ายให้ทุกคนในกรณีที่ระดับรังสีเพิ่มสูงขึ้น คำแนะนำข้างกล่องเขียนไว้ว่าเราไม่ควรกินยานี้หากไม่มีคำสั่งจากเจ้าหน้าที่”
16. คนสวิสไม่ชอบให้มีเครื่องซักผ้าอยู่ในอพาร์ตเมนต์ของพวกเขา
คนท้องถิ่นยึดถือธรรมเนียมเดิมที่จะต้องมีห้องซักผ้าไว้ในชั้นใต้ดิน ห้องกว้าง ๆ เพียงห้องเดียวเลย แม้จะมีคนที่อยากจะมีเครื่องซักผ้าอยู่ในห้องที่อพาร์ตเมนต์มากจริง ๆ แค่ไหน พวกเขาก็ทำไม่ได้หรอก ก่อนอื่นเลยคือไม่มีท่อน้ำใด ๆ ในห้องน้ำที่คุณจะสามารถต่อกับเครื่องซักผ้าได้ และสอง เครื่องซักผ้าส่งเสียงดังมากเกินไป
เพื่อที่จะทำให้ทุกคนสามารถใช้ห้องซักผ้าได้อย่างเท่าเทียม ชาวสวิสจะมีตารางเวลาที่เข้มงวดมาก โดยจะมีหน้าตาเป็นตารางที่เอาไว้ให้ทุกคนเขียนชื่อตัวเองลงไป คุณห้ามใช้คร่อมช่วงเวลาเด็ดขาดนะ คนที่นี่โทรเรียกตำรวจเพราะเรื่องนี้ได้เลย
ต่อให้มีใครสักคนที่มีเครื่องซักผ้าส่วนตัวจริง ๆ ก็จะต้องเอาไปไว้ในห้องซักผ้า
17. รถไฟที่นี่แม่นยำสุด ๆ
“ฉันอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ และนี่ก็คือรถไฟที่ฉันขึ้นเพื่อไปโรงเรียน”
ตารางทุกอย่างถูกวางแผนไว้อยู่แล้ว ดังนั้นคุณจะสามารถไปถึงสถานที่สำคัญ ๆ ได้ทุกที่ไม่ว่าจะมาจากหมู่บ้านในภูเขาที่ไหนก็ตาม แถมยังต่อรถน้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ นอกจากนี้ รถไฟทุกขบวนจะออกครั้งหนึ่งทุก ๆ 30 — 60 นาที ดังนั้นหากไปไม่ทันรถไฟย่อมไม่ใช่ปัญหา ในขณะเดียวกันระหว่างที่คุณเดินทางก็มีวิวต่าง ๆ ให้ได้เพลิดเพลินมากมาย โดยมีชายคนหนึ่งได้เล่าไว้ว่า “สองสัปดาห์แรกตอนที่ผมต้องนั่งรถไฟไปทำงาน ผมมักจะเอาหนังสือติดไปเล่มหนึ่งเสมอจะได้ไม่เบื่อ 2 ปีผ่านไป ผมกลับไม่เคยได้เปิดหนังสือเล่มนั้นแม้แต่ครั้งเดียว ผมมักมองออกไปนอกหน้าต่างเสมอ”
18. นมสดที่นี่มีรสชาติไม่เหมือนที่อื่น
ไม่เหมือนกับวัวในฟาร์มนมอื่น ๆ ในประเทศอื่น ๆ ที่มักจะได้รับยาปฏิชีวนะและฮอร์โมนเร่งการเจริญเติบโต แต่วัวในสวิตเซอร์แลนด์เป็นวัวที่กินหญ้าเป็นหลัก ดังนั้น นมสดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์จึงบริสุทธิ์มาก ๆ ทุกปี วัวประมาณ 270,000 ตัวจะต้องไปที่ทุ่งหญ้าอัลไพน์ และจะกลับมาในช่วงเริ่มต้นฤดูใบไม้ร่วงราว ๆ กลางเดือนกันยายน
ต้องขอบคุณหญ้าเหล่านี้ที่ทำให้น้ำนมที่ได้มีความเข้มข้นมากขึ้นและมีรสชาติอันลืมไม่ลงจากสมุนไพรหลายหลากประเภท นอกจากนี้ นมที่ได้จากวัวเหล่านี้สามารถนำไปแปรรูปเป็นชีสอัลไพน์ที่แสนจะมีเอกลักษณ์ได้อีกด้วย
19. คุณสามารถดื่มน้ำจากก๊อกน้ำและน้ำพุสาธารณะได้
คุณดื่มน้ำจากน้ำพุสาธารณะได้นะ จุดประสงค์หลักของการมีน้ำพุสาธารณะคือเพื่อให้แน่ใจว่าทุกคนสามารถเข้าถึงน้ำดื่มได้ในสวิสเซอร์แลนด์ แถมยังมีน้ำแร่ไหลออกมาจากก๊อกน้ำในห้องครัวของคุณอีกต่างหาก ดังนั้น หากบริกรในร้านอาหารนำน้ำจากก๊อกน้ำมาให้คุณหนึ่งแก้ว มันปลอดภัยสุด ๆ ที่จะดื่มน้ำแก้วนั้น
20. พวกเขาทำช็อกโกแลตแบบใหม่ด้วยนะ ช็อกโกแลตสีชมพู
ยากที่จะเชื่อได้จริง ๆ ว่าช็อกโกแลตที่มีสีสันไม่เหมือนใครนี้ไม่ได้ใส่สีผสมอาหารแต่งอย่างใด แต่มันทำมาจากเมล็ดโกโก้สีแดงต่างหาก ไม่ใช้สารแต่งสีและสารเติมแต่งอื่น ๆ ช็อกโกแลตสีชมพูนั้นถือว่าเป็นความก้าวหน้าครั้งยิ่งใหญ่ในโลกแห่งช็อกโกแลตเลยก็ว่าได้ ซึ่งก่อนหน้านี้มีช็อกโกแลตอยู่แค่ 3 ชนิด ได้แก่ ช็อกโกแลตขม ช็อกโกแลตนม และไวท์ช็อกโกแลต โดยช็อกโกแลตชนิดใหม่ล่าสุดก่อนหน้านี้ (ไวท์ช็อกโกแลต) มีการคิดค้นประดิษฐ์ขึ้นในปี 1930 โน่นแน่ะ ช็อกโกแลตสีชมพูนี้มีรสชาติคล้าย ๆ รสเบอร์รีจาง ๆ
- ฉันเพิ่งได้ลองกินเมื่อสองสามเดือนก่อน ดูเหมือนว่าจะมีการวางขายแค่บางสถานที่เท่านั้น ฉันชอบนะ ตอนแรกนึกว่ารสชาติจะออกมาคล้าย ๆ กับรสสตรอว์เบอร์รี แต่จริง ๆ แล้วมันรสชาติคล้าย ๆ ไวท์ช็อกโกแลตมากกว่าในความคิดฉัน © SuperCuteRoar / Reddit
21. ผู้หญิงหลายคนที่นี่ตัดสินใจที่จะมีลูกกันช้ามาก ๆ
ผู้หญิงในประเทศสวิตเซอร์แลนด์จะเป็นแม่คนเมื่ออายุเฉลี่ยอยู่ที่ 30.7 ปี ซึ่งจัดเป็นอันดับสามในยุโรป มีเพียงอิตาลีและสเปนเท่านั้นที่ผู้หญิงมักมีลูกกันตอนที่อายุมากกว่านี้ เริ่มด้วยผู้คนในปัจจุบันจะต้องศึกษาเล่าเรียนกันยาวนานกว่าคนในสมัยหลายสิบปีก่อน จึงส่งผลให้ช่วงอายุที่คุณจะสามารถสร้างครอบครัวได้สูงตามไปด้วย
อย่างที่สอง ผู้หญิงเริ่มมีข้อเรียกร้องมากขึ้น ซึ่งส่งผลให้รู้สึกว่าไม่มีตัวเลือกคนที่จะมาเป็นคู่ชีวิตที่ดีพอที่จะมาสร้างครอบครัวด้วยได้ และการมีลูกในสวิตเซอร์แลนด์ไม่ถูกเลยนะ แค่หนึ่งวันในโรงเรียนอนุบาลธรรมดาก็มีค่าใช้จ่ายราว ๆ 3,900 — 4,600 บาทแล้ว
22. คนที่นี่ดูแลสุขภาพดีมาก เห็นได้ชัดเลยแหละ
ตั้งแต่วัยเด็กมาก ๆ เด็ก ๆ ที่นี่ก็จะได้รับการสั่งสอนให้กินอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ เด็ก ๆ จะได้รับผักและผลไม้เป็นของว่างในโรงเรียน คนส่วนมากจะเล่นกีฬา เดินไปนั่นมานี่ และขี่จักรยานกันทั้งนั้น เป็นสิ่งที่ทันสมัยและเป็นเรื่องธรรมชาติมาก ๆ คนสูงวัยที่นี่ก็ดูมีสุขภาพดี ในประเทศสวิตเซอรเ์แลนด์มีคู่รักไม่มากนักที่คบกับคู่รักที่อายุต่างกันมาก ดังนั้นคุณจึงมักจะเห็นผู้ชายเดินอยู่กับภรรยาที่มีวัยเดียวกัน และคนสูงวัยก็จะชอบนั่งด้วยกันริมระเบียงในฤดูร้อน ซึ่งดูน่ารักสุด ๆ
โบนัส: การใส่ใจในรายละเอียดคือสิ่งสำคัญในการที่จะได้ใช้ชีวิตอย่างสะดวกสบาย
- เครื่องอาบน้ำที่โรงแรมเตรียมให้ฉันที่สวิตเซอร์แลนด์ รวมถึงเป็ดยางตัวน้อยนี่ด้วยนะ
- หิ้งสำหรับบรรดาน้องเหมียว
คุณอยากไปอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์บ้างไหม ? อ่านแล้วคิดเห็นยังไงบ้างบอกให้เราฟังได้เลย !