ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

ข้อเท็จจริงกว่า 20 ข้อที่เป็นเครื่องยืนยันว่าการใช้ชีวิตในประเทศเล็ก ๆ นั้นเหมือนกับการใช้ชีวิตในจักรวาลคู่ขนาน

ประเทศเล็ก ๆ ที่เต็มไปด้วยความเชื่อผิด ๆ ตัวอย่างเช่น หลายคนเชื่อว่ามีแค่มหาเศรษฐีเท่านั้นที่อาศัยอยู่ในโมนาโค และมีเพียงสมณเพศเท่านั้นที่อาศัยอยู่ที่วาติกัน แต่โดยปกติแล้ว ตำนานเกิดขึ้นจากสิ่งที่น่าสนใจ นั่นเป็นเพราะพวกเราส่วนใหญ่ไม่รู้ว่าการอยู่ในประเทศที่เดินได้ทั่วภายในหนึ่งวันนั้นเป็นยังไง

ที่ชีวิตสดใส เราปล่อยหัวข้อที่น่าฉงนนี้ผ่านไปไม่ได้และได้ค้นพบข้อเท็จจริงที่น่าสนใจเกี่ยวกับชีวิตในประเทศเล็ก ๆ

วาติกัน

***

นครวาติกันเป็นประเทศที่เล็กที่สุดในโลก โดยผู้อาศัยมีหนังสือเดินทางเพียง 2 ประเภท นครรัฐออกหนังสือเดินทางปกติ และสันตะสำนักออกหนังสือเดินทางทางการทูตซึ่งอนุญาตให้คุณไปได้เกือบทุกที่บนโลก แต่สถานะการเป็นพลเมืองที่นี่นั้นเป็นสถานะชั่วคราว มีเพียงแรงงานท้องถิ่นและสมาชิกในครอบครัวของพวกเขาที่จะได้รับ หลังจากสิ้นสุดงานแก่สันตะสำนัก หนังสือเดินทางของที่นี่จะถูกเปลี่ยนเป็นหนังสือเดินทางของประเทศอิตาลีและอดีตพลเมืองจะถูกนำตัวออกไปจากเขตกำแพงเก่าอายุนับพันปี

***

เด็กที่เกิดมาเป็นพลเมืองวาติกันจะได้รับสถานะพลเมืองเช่นกัน แต่พวกเขาจะสิ้นสุดสถานะการเป็นพลเมืองทันทีที่อายุครบ 18 ปีหรือเมื่อผู้ปกครองของพวกเขาสูญเสียสิทธิ์ในหนังสือเดินทางจากรัฐนี้

***

ร้านค้าในวาติกันนั้นปลอดภาษีและราคาต่ำกว่าในโรมเกือบ 25 เปอร์เซนต์ สิ่งนี้รวมไปถึงอาหาร ยา สินค้าเกี่ยวกับความงามและน้ำหอม เทคโนโลยี เสื้อผ้าแบรนด์และรองเท้า

***

พลเมืองวาติกันไม่ควรสวมเสื้อผ้าเปิดไหล่ในที่สาธารณะ และไม่สามารถสวมกระโปรงสั้นหรือกางเกงขาสั้น ห้ามจัดงานปาร์ตี้ที่มีการเต้นรำจนถึงตอนเช้า

***

ไม่มีบาร์หรือคลับในนครวาติกัน ผู้อยู่อาศัยจะไปที่โรมแทน กฏหลักคือห้ามกลับช้า ประตูเมืองจะปิดเวลา 01.15 น. และเปิดในเวลา 05.45 น. แน่นอนว่าพวกเขาจะไม่ถูกปล่อยทิ้งไว้บนถนนในตอนกลางคืน แต่พวกเขาจะต้องลงทะเบียนพิเศษของผู้ฝ่าฝืนกฎ

***

พลเมืองวาติกันสามารถชวนเพื่อนจากประเทศอื่นมาเที่ยวได้ แต่แน่นอนว่าในตอนเที่ยงคืน ผู้มาเยี่ยมจะต้องออกจากนครรัฐและเจ้าบ้านจะต้องไปส่งพวกเขาที่ประตูเมือง มีเพียงญาติสนิทเท่านั้นที่ค้างคืนได้

โมนาโค

***

โมนาโคเป็นประเทศที่เล็กที่สุดเป็นอันดับสองของยุโรปรองจากนครวาติกัน “ฉันเดินจากฝั่งหนึ่งของประเทศไปยังอีกฝั่งได้ในเวลาแค่ 50 นาที อาจจะแค่ 40 นาทีด้วย ถ้าฉันวิ่งเหยาะ ๆ” ผู้ใช้ Reddit รายหนึ่งเขียน

***

พลเมืองโมนาโคมีเอกสิทธิ์บางอย่าง เช่น เงินอุดหนุนค่าที่อยู่อาศัย แต่การได้รับหนังสือเดินทางของที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย กรณีส่วนใหญ่แล้วคุณต้องเป็นผู้อยู่อาศัยดั้งเดิมของประเทศนี้ ส่วนอีกวิธีคือการแต่งงานกับผู้อยู่อาศัยดั้งเดิม แต่สถานะพลเมืองจะถูกพิจารณาก็ต่อเมื่อหลังจากแต่งงานครบ 10 ปี

***

โมนาโคมีการแต่งกายที่เข้มงวด เช่น คุณเดินเท้าเปล่าที่นั่นไม่ได้ ในทางกลับกัน คุณก็ห้ามสวมรองเท้าบนเรือยอร์ช

***

ไม่มีกองทัพบกหรือกองทัพเรือที่นั่น แต่มีตำรวจมากมายต่อจำนวนประชากร ด้วยเหตุนี้ ประเทศนี้จึงมีอัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำมากและสาเหตุหลักที่คนติดคุกมักจะมาจากการขโมยหรือการฉ้อโกง ถึงอย่างนั้นพวกเขาก็กล่าวว่า คุณก็ติดคุกได้เช่นกันถ้าทำร้ายสัตว์ในที่สาธารณะ ห้องขังมองเห็นทะเลและนักโทษก็มีห้องออกกำลังกายด้วย

ซาน มาริโน

***

ซาน มาริโนมีการบริหารประเทศโดย 2 ผู้ครองนครร่วมซึ่งได้รับเลือกตั้งเป็นเวลา 6 เดือน ในระหว่างการดำรงตำแหน่ง พวกเขาไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ

***

มีนักโทษเพียงคนเดียวในซาน มาริโนเมื่อนานมาแล้ว เขามีห้องออกกำลังกาย ห้องสมุดและห้องดูโทรทัศน์

***

เป็นประเทศเดียวในโลกที่มีจำนวนรถมากกว่าจำนวนประชากร มีจำนวนรถ 1.6 คันต่อประชากรหนึ่งคนในซาน มาริโน

***

ในปี 2017 ซาน มาริโนได้ชื่อว่าเป็นประเทศที่มีผู้มาเยี่ยมชมน้อยที่สุดในยุโรป

มอลตา

***

ฤดูหนาวในมอลตานั้นอากาศอบอุ่น ด้วยอุณหภูมิที่แทบจะไม่ต่ำกว่า 10°C แต่เนื่องจากไม่มีระบบทำความร้อนจากส่วนกลางหรือฉนวนกันความร้อน ภายในบ้านจึงหนาวพอ ๆ กับนอกตัวบ้าน

***

มอลทีสเป็นภาษาเซมิติกเพียงภาษาเดียวในโลกที่เขียนด้วยตัวอักษรละติน ฟังดูเหมือนภาษาอารบิคที่มีกลิ่นอายของภาษาอิตาเลียน ภาษาทางการลำดับที่สองคือภาษาอังกฤษซึ่งเป็นภาษาที่พูดได้แทบทุกคน แต่ถ้าคุณพูดภาษามอลทีสไม่ได้ คุณก็กลายเป็นคนท้องถิ่นไม่ได้

***

ประเทศนี้มีกฎหมายที่ค่อนข้างแปลก ตัวอย่างเช่น การห้าม “วิ่งอย่างรุนแรง” ในสถานที่สาธารณะ ซึ่งหมายถึงการวิ่งจ๊อกกิ้ง ในระหว่างที่นักกีฬาใช้แขนและขาอย่างว่องไวก็อาจทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บได้ เช่นเดียวกับบันไดหรือเครื่องมือต่าง ๆ ก็ไม่ควรวางเกลื่อนกลาดไว้ตามถนนเพราะโจรหรือผู้บุกรุกอาจนำไปใช้ได้เพราะฉะนั้นแล้วคุณอาจถูกดำเนินคดีจากบันไดที่ถูกลืมวางทิ้งไว้บริเวณบ้านของคุณก็ได้

***

ไม่มีใครเร่งรีบที่นี่ “ฉันใช้เวลาหนึ่งเดือนในการพยายามจะเข้าไปในร้านขายสินค้าในครัวเรือนที่ถนนแถวบ้าน” หญิงสาวที่มาเรียนที่มอลตาและในที่สุดก็อยู่ที่นี่ต่อกล่าว มีใบประกาศใบใหม่แปะบนประตูทุก ๆ สัปดาห์ “ขอโทษนะ พวกเราไปตกปลา อาจจะไม่กลับมาเร็ว ๆ นี้”

***

มอลตาเป็นประเทศที่มีประชากรหนาแน่นมาก “ไม่ว่าคุณจะไปที่ไหน ก็มักจะมีผู้คนอยู่รอบ ๆ และมักจะเป็นคนที่คุณรู้จัก” ชายชาวอังกฤษผู้ซึ่งอาศัยในมอลตากล่าว

อันดอร์รา

***

อันดอร์ราเป็นอาณาเขตเล็ก ๆ ที่มีพรมแดนติดกับฝรั่งเศสและสเปน บริหารประเทศโดยผู้ปกครองสองคน คนหนึ่งคือประธานาธิปดีของฝรั่งเศสและอีกคนคือบิชอปแห่งอูร์เกลล์ ตัวแทนของสเปน

***

ในปี 1864 เจ้าหน้าที่ของอาณาเขตได้ห้ามไม่ให้ทนายความมาขึ้นศาล เนื่องจากอาชีพนี้เป็นตัวแทนของการ “เปลี่ยนดำให้เป็นขาว เปลี่ยนขาวให้เป็นดำ”

***

โดยทั่วไปแล้ว นี่ไม่ใช่อาชีพที่มีความต้องการที่สุดในประเทศนี้ เนื่องจากอัตราการเกิดอาชญากรรมที่ต่ำ อันดอร์ราเป็นประเทศที่ปลอดภัยมาก “พ่อแม่ของฉันไม่เคยต้องเป็นห่วงอะไร เวลาที่ฉันอยู่นอกบ้านจนดึกหรือเวลาที่ฉันไปเดินเล่นที่ใกล้ ๆ อย่างที่สกีรีสอร์ท พี่สาวของฉันใช้ชีวิตวัยรุ่นส่วนใหญ่ของเธอในบาร์เซโลน่าที่สเปน แต่ก็ไม่ได้มีอิสระเท่าที่ฉันมี” ผู้ใช้งาน Quora รายหนึ่งเขียน

ลิกเตนสไตน์

***

ลิกเตนสไตน์ไม่มีปัญหาความยากจนและมากกว่าครึ่งหนึ่งของพนักงานมาจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ออสเตรีย สวิตเซอร์แลนด์และเยอรมนีในแต่ละวัน

***

เจ้าชายของลิกเตนสไตน์ ฮานส์ อดัมที่สองเดินไปเดินมาโดยไม่มีผู้คุ้มกัน เขาพูดคุยกับผู้คนที่สัญจรไปมาอย่างไม่มีพิธีรีตองและเขายังจัดปาร์ตี้ในปราสาทของเขาและได้เชิญผู้อาศัยในประเทศทั้งหมดมาร่วมงานด้วย

คุณอยากจะอาศัยอยู่ในประเทศเล็ก ๆ ไหม? คุณจะเลือกประเทศไหน บอกเราในช่องคอมเมนต์ด้านล่างหน่อยสิ

เครดิตภาพพรีวิว Shutterstock.com, Shutterstock.com
แชร์บทความนี้