ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

14 คนแชร์ชีวิตที่พลิกผันหลังจากรับอุปการะลูกบุญธรรม

การรับเด็กเป็นลูกบุญธรรมเป็นกระบวนการที่ยากลำบากซึ่งเต็มไปด้วยความหวังที่จะเปลี่ยนแปลงความเคยชินของชีวิตโดยสิ้นเชิง บางคนมีครอบครัวใหม่ที่มีสายสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกว่าครอบครัวทั่วไปในทันที บางคนใช้เวลาหลายปีในการค่อย ๆ สร้างความสัมพันธ์ แต่สุดท้ายก็หาจุดร่วมกันไม่ได้

1.

พ่อแม่ของฉันรับเลี้ยงพี่ชายของฉัน เพื่อน ๆ ของพวกเขาทุกคนมั่นใจว่าพวกเขาจะเลี้ยงให้พี่โตเป็นคนปกติไม่ได้ และเรื่องราวนี้จะไม่จบลงอย่างมีความสุขเพราะยีน ในที่สุด พี่ชายของฉันก็เรียนจบมหาวิทยาลัยและได้เกียรตินิยม เขาเป็นคนเดียวที่สนับสนุนฉันเสมอและเป็นคนที่ใจดีและจริงใจเสมอไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นยังไง ฉันชื่นชมและเคารพพี่ชายของฉันซึ่งได้กลายเป็นพี่ของฉันตั้งแต่เมื่อนานมาแล้ว ยีนก็คือยีน แต่ความรักและการเลี้ยงดูทำให้เกิดปาฏิหาริย์ © Overheard / VK

2.

ที่ปรึกษาและเพื่อนที่ดีของฉันตัดสินใจรับเลี้ยงเด็กเมื่อไม่นานมานี้ เธอรวบรวมเอกสารจำนวนมากสำหรับกระบวนการ เนื่องจากเธอรับเด็กที่ “มีปัญหา” มาเลี้ยง ฉันจึงเป็นหนึ่งในผู้รับรองอย่างเป็นทางการของเธอ (โดยพื้นฐานแล้วคือบุคคลที่รับประกันว่าเธอเลี้ยงลูกได้ ว่าเธอมีรายได้เพียงพอ และเธอมีความมั่นคงทางอารมณ์) ทุกคนพูดเสมอว่ามันคงเป็นเรื่องยากมากสำหรับเธอ เด็กชายคนนี้ดูตัวเล็กกว่าเด็กคนอื่นในวัยเดียวกัน (อายุ 1 ขวบ) เขาอ่อนแอและมีการพัฒนาทางสมองช้า

ตอนนี้เขาอายุ 14 ปีและพวกเขาอาศัยอยู่ในมอนเตเนโกร เขายังคงได้รับรางวัลในการแข่งขันกีฬาต่าง ๆ และได้รับใบรับรองสำหรับผลการเรียนที่ดีที่สุดในโรงเรียน เพื่อนของฉันพูดว่า “ตอนนั้นฉันแค่เห็นว่าเขาขาดความรัก !” © Timofey Kryukov / Facebook

3.

ฉันกับสามีอยู่กันโดยไม่มีลูกมา 8 ปีแล้ว และเมื่อถึงจุดหนึ่ง เราก็รู้ว่าเราพร้อมที่จะรับเด็กมาเลี้ยง เราต้องการรับเลี้ยงเด็กชายที่มีอายุ 2 และ 3 ขวบ 2 คน แต่พวกเขาเสนอเด็กชายอายุ 6 ขวบให้เราและเล่าเกี่ยวกับชีวิตที่ไม่มีความสุขของเขา เราอยากจะปฏิเสธเพราะสิ่งที่เราได้ยินมานั้นแย่มาก (และเราไม่รู้ว่าสภาพจิตใจของเด็กเป็นยังไงด้วย) แต่เมื่อเราเห็นรูปถ่ายของเขา เราก็รู้ว่านี่คือลูกของเรา ไม่เลย ในภาพไม่ได้แสดงให้เห็นเด็กที่น่ารัก แต่เป็นเด็กชายหูลู่ไร้ผมและมีรอยยิ้มที่ไร้ฟัน ในตอนนั้น เรื่องราวชีวิตอันเลวร้าย สภาพอารมณ์และปัญหาในอนาคตของเขาก็ไม่สำคัญสำหรับเรา เรามีความรู้สึกชัดเจนว่านี่คือลูกของเรา

แต่เรื่องราวก็ยากขึ้นเล็กน้อยเมื่อรับเลี้ยงลูกคนที่สองของเรา พวกเขาเสนอเด็กชายอายุ 1 ขวบครึ่งคนหนึ่งซึ่งดูน่ารักและไม่มีปัญหาอะไรเลยในการประชุมของเรา แต่เราไม่ได้รู้สึกว่าเขาเป็นลูกของเราเลย เจ้าหน้าที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเริ่มพูดว่า “คุณไม่ได้มาเลือกซื้อของนะ !” และนั่นเป็นคำพูดที่นุ่มนวลที่สุดที่เราได้ยินจากพวกเขา แต่เราชินกับความรู้สึกนี้แล้ว เรามีปัญหากับลูกคนโตมาบ้างแล้ว แต่ความรู้สึกว่าเขาเป็น “ของเรา” ไม่เคยหายไป และมันช่วยให้เราก้าวต่อไปได้ พวกเขาเสนอเด็กคนอื่นให้อย่างไม่เต็มใจ แต่เราก็ไม่รู้สึกอะไรกับเขาเช่นกัน พวกเขายื่นคำขาดกับเราว่าถ้าไม่เอาเด็กคนนี้ก็ไม่ต้องรับเลี้ยงเด็กคนไหนเลย เรากังวลมากแต่ก็ปฏิเสธพวกเขาอยู่ดี และเจ้าหน้าที่ก็เริ่มไม่ชอบเรา ถ้าไม่ใช่เพราะความสำเร็จของเรากับลูกชายคนโต พวกเขาคงไม่คุยกับเราเลย

แล้วปาฏิหาริย์ก็เกิดขึ้น ฉันเห็นภาพเด็กในชุมชนอาสาสมัครแห่งหนึ่งและหัวใจของฉันเริ่มเต้นเร็วขึ้น ฉันโชว์รูปนี้ให้สามีดูและเขาพูดว่า “นี่แหละลูกเรา !” เราพยายามทำเรื่องรับเลี้ยงเขาถึง 6 เดือนเต็ม ๆ และในที่สุดเราก็ทำสำเร็จ เราเป็นพ่อแม่มา 10 ปีแล้ว เราผ่านประสบการณ์มามากมาย ทั้งดีและร้าย เรามีปัญหา และหลายครั้งที่เราอยากยอมแพ้ แต่เราก็ไม่ยอมแพ้เพราะพวกเขาคือลูกของเรา พวกเขาเป็นของเรา 100% © mari.ar / Pikabu

4.

เมื่อ 8 ปีก่อน ครอบครัวของเรารับเลี้ยงเด็กชายอายุ 4 ขวบ พ่อแม่ของฉันใช้เงินทั้งหมดที่เก็บไว้เพื่อซื้อรถใหม่เพื่อทำเอกสารทั้งหมดและซื้อเสื้อผ้าให้เขา แม่ของฉันลาออกจากงานเพื่อช่วยให้เขาปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ เราพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสร้างชีวิตที่ดีให้กับเขา แต่ตอนนี้เราไม่อยากจะรักเขาหรือถือว่าเขาเป็นลูกของเราอีกต่อไป เขาขโมยของทั้งที่บ้านและที่โรงเรียน เขามักจะโกหกและเรียนไม่เก่ง เขาขี้เกียจและหยิ่งยโสและเขายังไม่เป็นวัยรุ่นด้วยซ้ำ เขาไม่เคารพพ่อแม่ของเขาและเชื่อว่าทุกคนติดค้างเขา 8 ปีที่ผ่านมาเต็มไปด้วยความตึงเครียดและการทะเลาะเบาะแว้ง © Overheard / VK

5.

เรารับเลี้ยงลูกสาวตอนเธออายุ 8 ขวบและเรามีลูกชายอายุ 13 ปีแล้ว ฉันมีลูกไม่ได้อีกแล้ว นั่นคือเหตุผลที่เรารับเลี้ยงบุตรบุญธรรม นั่นคือตอนที่เราเห็นเด็กผู้หญิงที่ยอดเยี่ยมคนนี้ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า ครอบครัวของเธอเสียชีวิตในอุบัติเหตุ ตอนนี้เธออายุ 19 ปี แต่เธอไม่เคยเรียกฉันว่าแม่เลย ทุกอย่างเรียบร้อยดี แต่ฉันยังรู้สึกว่าเธอเป็นแขกที่มาเยี่ยมบ้านของเรา เหมือนเธอไม่รู้สึกเหมือนอยู่บ้านเลย ความสัมพันธ์ทั้งหมดของเธอกับเราดูเหมือนความกตัญญู แต่ฉันอยากให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นลูกสาวของเรา ฉันอยากให้เธอรู้ว่าที่นี่คือบ้านของเธอเหมือนกัน คำพูดที่เธอตะโกนออกมาเมื่อ 11 ปีก่อนระหว่างที่เราทะเลาะกันครั้งแรกยังคงวนเวียนอยู่ในหัวของฉัน เธอบอกว่าเธอมีพ่อแม่อยู่แล้วและเธอจะไม่มีวันมีพ่อแม่คนอื่นอีก แต่เรารักเธอมาก © Overheard / VK

6.

ลูกของเรา 2 คนเป็นพี่น้องที่เรารับอุปการะหลังจากเลี้ยงดูพวกเขามา 3 ปี ฉันคงจะโกหกถ้าฉันบอกว่าไม่มีวันไหนเลยที่ฉันกับสามีคิดว่าทำไมเราถึงทำอย่างนี้ แต่ก็ไม่เคยมีสักครั้งที่เราเสียใจกับการตัดสินใจของเราหรือคิดจะคืนพวกเขา ลูกชายของเราปรับตัวได้ยากในตอนแรก แต่ความเพียรพยายามก็ได้ผลและในที่สุดพวกเขาก็สงบลง พวกเขาเริ่มตระหนักว่าพวกเขาปลอดภัย จะไม่มีใครตะโกนและตะคอกใส่เมื่อพวกเขาทำผิด ไม่มีใครจะหัวเราะเยาะพวกเขาที่ถามคำถามและไม่มีใครจะทำให้พวกเขาผิดหวัง พวกเขาตระหนักว่าพวกเขาได้รับความรักจริง ๆ

เพราะงั้นฉันก็ไม่เสียใจหรอก มันท้าทายและพวกเขาจะรู้สึกเจ็บปวดเสมอ ส่วนที่ยากที่สุดในการรับเด็กที่จำชีวิตเก่าได้มาเลี้ยงคือ คุณแค่ทำให้ความทรงจำของพวกเขาหายไปโดยสิ้นเชิงไม่ได้ แต่นอกเหนือจากนั้น มีเด็กคนไหนบ้างที่ไม่เคยมีปัญหาในบางช่วงของชีวิต ? ไม่มีเลยสินะ เพราะงั้นฉันก็ไม่เสียใจที่รับลูก ๆ ของฉันมาเลี้ยง ฉันขอบคุณพวกเขามากจนไม่รู้จะแสดงออกมายังไง ! © William Spencer / Quora

7.

เพื่อนที่เป็นสาวโสดของฉันรับเลี้ยงเด็กหญิงอายุ 5 ขวบชื่อดาชา (Dasha) ทุกอย่างดำเนินไปได้ด้วยดีจนกระทั่งมีครูผู้ “ใจดี” คนหนึ่งเปิดเผยความจริงเมื่อเธออายุ 14 ปี ลูกสาวของเธอโกรธมาก เธอกล่าวโทษแม่บุญธรรมของเธอสำหรับทุกเรื่อง เริ่มหนีออกจากบ้านและคบเพื่อนไม่ดี เธอยังขอความช่วยเหลือจากรายการทีวีชื่อดังที่ขอให้พวกเขาตามหาแม่ที่แท้จริงของเธอ ในที่สุด พวกเขาก็เจอไม่เพียงแต่แม่ของเธอเท่านั้น แต่ยังพบน้องสาวของเธอที่ครอบครัวอื่นรับเลี้ยงไว้อีกด้วย แม่ผู้ให้กำเนิดของเธอเป็นผู้หญิงแย่ ๆ ซึ่งไม่ยอมให้ลูกสาวเข้าบ้านด้วยซ้ำ เมื่อเธอขอให้น้องสาวของเธอกลับมาพบกันอีกครั้ง เธอก็บอกว่าเธอมีครอบครัวเพียงครอบครัวเดียว นั่นคือครอบครัวที่เลี้ยงดูเธอมา ดาชาให้อภัยแม่ผู้ให้กำเนิดของเธอที่ทิ้งเธอ หรือแม่บุญธรรมที่ปกปิดการรับเลี้ยงมาเป็นเวลาหลายปีไม่ได้

8.

เพื่อนบ้านคนหนึ่งสูญเสียลูกคนเดียวไปในอุบัติเหตุทางรถยนต์เมื่อเธออายุ 17 ปี จากนั้นเธอรับเลี้ยงเด็กหญิงอายุ 6 ขวบชื่อเกรตา (Greta) มาจากต่างประเทศในอีกไม่กี่ปีต่อมาเมื่อเธออายุ 50 ปี
เกรตามีปัญหาทางอารมณ์และพฤติกรรม ซึ่งต่อมากลายเป็นปัญหาทางจิต เพื่อนบ้านของเราใช้ทั้งนักบำบัด แพทย์ ยา ฯลฯ และเกรตาหนีออกจากบ้านเป็นครั้งแรกเมื่ออายุ 14 ปีและอีกครั้งในอีกไม่กี่เดือนต่อมา ข้อแก้ตัวหลักของเธอคือเธอพยายามกลับไปหาครอบครัวที่เพื่อนบ้านของเรา “ขโมย” เธอมา เกรตาชอบใช้เหตุผลนั้นในการทรมานเพื่อนบ้านของเรา
เกรตาหายตัวไปเมื่ออายุ 16 ปีนานกว่าหนึ่งปี จากนั้นเพื่อนบ้านของเราได้รับโทรศัพท์จากโรงพยาบาลที่อยู่ห่างออกไป 5 รัฐ...เกรตาคลอดลูก และ 7 ชั่วโมงต่อมาก็แอบหนีไปโดยทิ้งลูกไว้ แต่เธอทิ้งชื่อและข้อมูลติดต่อของเพื่อนบ้านเราไว้
ในตอนนั้น เพื่อนบ้านของเราอายุ 67 ปีและต้องเลี้ยงเด็กอ่อน จากนั้นเกรตาก็กลับมาในอีกหนึ่งปีต่อมาและข่มขู่เพื่อนบ้านของเรา (ให้เงินเธอ ไม่งั้นเธอจะขโมยลูกเหมือนที่เพื่อนบ้านของเราขโมยเกรตา) จากนั้นเกรตาก็หายตัวไปสองสามปีและทิ้งทารกอีกคนไว้ที่โรงพยาบาลอื่น ตอนนี้เพื่อนบ้านของเราอายุ 80 ปีและกำลังเลี้ยงเด็ก 2 คนที่มีปัญหาเรื่องพฤติกรรมและอารมณ์ © jaimystery / Reddit

9.

เพื่อนสนิทของฉันเสียชีวิตในอุบัติเหตุทางรถยนต์และทิ้งลูกชายตัวน้อยของเธอไว้ตามลำพัง ฉันรับเลี้ยงเขา สามีของฉันมีลูกสาวฝาแฝดตั้งแต่การแต่งงานครั้งแรก ซึ่งแม่ของเธอไม่มีสิทธิความเป็นผู้ปกครองแล้ว เราอยู่ด้วยกันเป็นครอบครัวใหญ่ที่มีความสุขและฉันไม่เคยรู้สึกว่ากำลังเลี้ยงลูกของ “คนอื่น” เลย จนกระทั่งพ่อแม่ของฉันเริ่มแซะฉัน “ทำไมแกถึงเลี้ยงเด็กพวกนี้ ? ทำไมแกถึงต้องการรับภาระแบบนี้ ? ทำไมแกไม่มีลูกของตัวเอง !” พวกเขากระซิบบอกเรื่องแย่ ๆ กับลูก ๆ ของฉันระหว่างงานสังสรรค์ในครอบครัว โดยบอกว่าพวกเขาเป็นเด็กกำพร้าและเป็นภาระสำหรับฉัน จุดแตกหักคือเมื่อพวกเขาพูดว่า “เราให้แกเกิดมาเพื่อสืบทอดเชื้อสายของเรา !” ต่อจากนี้ ฉันจำกัดการสื่อสารกับพวกเขาทั้งหมดเพราะฉันทนไม่ได้

ลูก ๆ ของฉันเติบโตและเป็นผู้ใหญ่แล้ว ครั้งหนึ่งฉันจำเป็นต้องปลูกถ่ายไต ลูก ๆ ของฉันทุกคนรีบไปเช็คว่าพวกเขาจะบริจาคไตให้ฉันได้ไหม แม้ว่าฉันจะไม่ได้ขอให้พวกเขาทำและอยากเก็บเป็นความลับ (สามีของฉันบอกพวกเขา) ในที่สุด ลูกสาวคนหนึ่งก็บริจาคไตให้กับฉัน หลังจากนั้นพ่อแม่ของฉันก็เรียกเธอว่าหลานสาวเป็นครั้งแรกและขอโทษ © Overheard / VK

10.

พี่สาวของฉันกับสามีของเธอมีลูกไม่ได้ พวกเขาจึงตัดสินใจรับอุปการะเด็กหญิงตัวน้อย เธอขี้อายและเงียบ เมื่อแม่สามีเห็นเธอ เธอก็เริ่มตะโกนว่า “ขอบคุณมาก ! ฉันต้องเลี้ยงดูเด็กกำพร้าแทนที่จะเป็นหลานแท้ ๆ งั้นเหรอ ? เด็กกำพร้าคนนี้มีประวัติอะไรมาบ้างก็ไม่รู้” พวกเขาทำให้แม่ของเขาสงบลงโดยอธิบายว่าเธอเครียด ผ่านไป 5 ปี แม่สามีก็ยังรับหลานสาวบุญธรรมไม่ได้ เธอซื้อของขวัญเทศกาลให้กับลูก ๆ ของลูกสาวคนโตซึ่งเป็นหลานแท้ ๆ ของเธอเท่านั้น พี่สาวของฉันคุยกับแม่สามีน้อยลงเพื่อไม่ให้กระทบกระเทือนความรู้สึกของเด็กหญิงตัวน้อย และไม่ทำให้ตัวเองเครียด

11.

ฉันรับเลี้ยงเด็กผู้หญิงคนหนึ่งตอนเธออายุ 4 ขวบ ตอนนี้เธออายุ 33 ปี และจบการศึกษาจากมหาวิทยาลัย 2 แห่ง เธอเป็นลูกสาวที่ยอดเยี่ยม ! เมื่อฉันถามเธอว่า “ลูกไม่รู้สึกแปลกเลยเหรอที่รู้ว่าลูกเป็นลูกบุญธรรม ?” เธอตอบว่า “ไม่ค่ะ หนูรู้สึกภูมิใจเสมอที่หนูคู่ควรกับครอบครัวนี้และแม่เลือกหนู” ต่อมาฉันคลอดลูกชายและตอนนี้ฉันมีลูกที่น่ารัก 2 คน © Erika Cirule / Youtube

12.

เมื่อลูกชายคนโตอายุ 14 ปี เราทะเลาะกันด้วยเรื่องบางอย่าง ในระหว่างการโต้เถียงนี้ เขาพูดเรื่องที่ฉันคาดว่าจะได้ยินมาระยะหนึ่งแล้ว ว่าเขาหวังว่าเราจะไม่ใช่พ่อแม่ของเขาและเขาหวังว่าเราจะไม่รับเขามาเลี้ยง ฉันจำไม่ได้ว่าฉันตอบว่าอะไร แต่ตอบประมาณว่า “ใช่ แม่รู้” ถ้าพูดตามตรง ฉันรู้สึกหวั่นไหวกับการโต้เถียงและพฤติกรรมของเขา แต่ในขณะเดียวกันก็ค่อนข้างโล่งใจที่เขาพูดออกมาในที่สุด คืนนั้นเขาออกจากบ้านไปค้างคืนที่บ้านเพื่อนสองสามคืน

หลังจากกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน เขาก็ขอโทษสำหรับพฤติกรรมของเขาที่เขาหนีออกจากบ้าน เขาหยุดไปนานและดูเหมือนจะพูดคำต่อไปได้อย่างยากลำบาก เขาน้ำตาเอ่อและเขาบอกว่าเขาเสียใจจริง ๆ ที่เขาพูดไปอย่างนั้นและมันไม่จริงเลยและที่เขาเกลียดจริง ๆ ก็คือเราไม่ใช่พ่อแม่ผู้ให้กำเนิดเขา เขาเกลียดการเป็นลูกบุญธรรมและอยากเป็นลูกแท้ ๆ ของเรามากกว่าอะไรทั้งนั้น นั่นทำให้ฉันใจสลายยิ่งกว่าเรื่องที่เขาพูดเมื่อสองสามวันก่อนเสียอีก ฉันบอกเขาว่าฉันรู้สึกแบบเดียวกัน เราไม่ได้กอดกัน แค่นั่งโซฟาตรงข้ามกัน มองหน้ากัน เห็นน้ำตาและความรักของกันและกัน การถูกลูกบุญธรรมปฏิเสธเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ในความสัมพันธ์ของเรา แม้จะมีทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายอีกมากในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เราก็สนิทกันมากขึ้นตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา © Ruth Alborough / Quora

13.

ลูกสาวคนเล็กของฉันมาอยู่กับเราตอนเธออายุ 10 ขวบ เมื่อลูกสาวคนกลางของฉันพาเธอมาค้างที่บ้านเป็นเวลา 13 ปี เธอผ่านมาไม่น้อยสำหรับวัยของเธอ ฉันรู้ตัวเป็นครั้งแรกในชีวิตว่าต้องรักใครสักคนโดยไม่หวังผลตอบแทน เธออาจไม่รักเรากลับ เธออาจไม่เคยภักดีต่อเราในฐานะครอบครัว เธอฝึกและสอนฉันเกี่ยวกับตัวเองมากกว่าที่ใครเคยสอน อย่าเข้าใจฉันผิด ฉันรักลูก ๆ ของฉันมากและฉันเสียสละชีวิตเพื่อพวกเขาได้ แต่ฉันอาจจะพยายามรักเธอให้มากกว่านั้นเล็กน้อย เธอไม่ได้โชคดีพอที่จะรู้ว่าเธอปลอดภัยตลอดชีวิต ฉันอยากให้เธอรู้ว่าเราต้องการเธอมากแค่ไหน เรารู้สึกขอบคุณเธอแค่ไหนที่เธอเป็นลูกของเรา ฉันไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องพิสูจน์ให้ลูกคนอื่น ๆ ของฉันเห็นเพราะพวกเขารู้อยู่แล้ว พวกเขาเติบโตมากับการได้ยินทุกวันว่าพวกเขาถูกรักและเป็นที่ต้องการมากแค่ไหน เธอเปลี่ยนชีวิตของเรา เธอเปิดประตูให้เราในฐานะครอบครัว ได้พูดคุยอย่างตรงไปตรงมาเกี่ยวกับทุกอย่าง วันนี้ลูกทั้ง 4 ของฉันรักใคร่กลมเกลียวกันดี เราเป็นพรรคพวกของเธอและเธอเป็นพรรคพวกของเรา © Renee LaCoste Long / Quora

14.

ฉันอยากจะแบ่งปันเรื่องราวของโรมัน (Roman) เพื่อนของฉันที่รับเลี้ยงเด็กคนหนึ่งในยุค 90 เขาเป็นคนขับรถบรรทุกธรรมดา เขาแต่งงานแล้ว มีลูกชายหนึ่งคน ภรรยาของเขาเข้าโรงพยาบาลเพื่อคลอดลูกสาว ตอนนั้นคุณแม่วัยใสคนหนึ่งทิ้งลูกของเธอ เธอให้กำเนิดลูกที่ป่วยและมีอาการร้องไห้รุนแรง ภรรยาของโรมันพยายามให้นมเด็กคนนั้นเป็นครั้งแรก เด็กควรจะถูกนำไปสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแต่เนื่องจากเขายังเด็กอยู่ เขาจึงถูกทิ้งให้อยู่กับภรรยาของโรมันตามคำขอของเธอ เจ้าหน้าที่ควรจะมารับตัวเด็กชายไปหลังจากนั้น 2 วัน ตอนนั้นเป็นฤดูใบไม้ผลิ น้ำแข็งทั้งหมดบนถนนกำลังละลายและมันค่อนข้างยากที่จะกลับบ้าน เหมือนไม่มีทางกลับบ้านตามปกติ โรมันพาเด็ก ๆ กลับบ้านอย่างระมัดระวังและไม่คิดว่าเด็กชายคนนี้จะอยู่กับพวกเขาตลอดไป เขาคิดว่าเมื่อขับรถบนถนนได้ตามปกติแล้วพวกเขาจะมารับทารกไปที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้า เมื่อตัวแทนจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้ามาถึงทารกก็ป่วย และพวกเขาตัดสินใจทิ้งเขาไว้ในครอบครัวนี้ต่อไปอีกระยะหนึ่ง เจน (Jane) ภรรยาของเขากล่าวว่าเธอไม่อยากแยกทางกับเขา พวกเขาขอรับเด็กเป็นบุตรบุญธรรมและเลี้ยงเด็กคนนั้น

เมื่อเร็ว ๆ นี้ โรมันบอกว่าเพื่อนบ้านที่ “ใจดี” บอกความจริงกับลูกชายบุญธรรมของพวกเขา (ตอนที่เขาอายุ 8 ขวบ) เด็กชายเก็บเรื่องนี้ไว้กับตัวเองในตอนแรก แต่ภายหลังได้ถามพ่อแม่ของเขาซึ่งยืนยันความจริง ลูกชายเงียบไปครู่หนึ่ง แต่ต่อมาก็พูดว่า “เอาล่ะ อย่างน้อยตอนนี้ผมก็เข้าใจแล้วว่าทำไมพ่อแม่ผมบลอนด์และผมมีผมสีเข้ม”

โรมันกับเจน ภรรยาของเขาย้ายมาที่เมืองของเราพร้อมกับครอบครัวทั้งหมด ตอนนี้ลูก ๆ ของพวกเขาโตแล้ว คนโตย้ายไปเมืองหลวง ส่วนลูกสาวแต่งงานแล้วย้ายไปอยู่เมืองอื่นกับสามี พวกเขาติดต่อกับพ่อแม่และเขียนจดหมายถึงพวกเขาและไปเยี่ยมพวกเขาเป็นประจำ แต่ลูกบุญธรรมของพวกเขาอยู่กับพ่อแม่ เขาอาศัยอยู่แยกกันในอพาร์ตเมนต์ข้าง ๆ เขาแต่งงานแล้วและทำงานเป็นคนขับรถบรรทุกเหมือนพ่อของเขา โรมันพูดว่า “ผมรู้สึกขอบคุณชีวิตของตัวเองและภรรยาของผมสำหรับลูกชายคนนี้ ผมนึกไม่ออกเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเขาถ้าภรรยาไม่เจอเขาที่โรงพยาบาล” เมื่อวานฉันรู้ว่าลูกบุญธรรมของพวกเขากลายเป็นพ่อคนแล้ว เขาตั้งชื่อลูกสาวว่าเจนตามแม่ของเขา © Sibirskix / Pikabu

คุณรู้เรื่องราวจากคนที่ตัดสินใจรับเลี้ยงลูกบุญธรรมมั้ย ? บางทีคุณและคู่สมรสของคุณก็เป็นพ่อแม่บุญธรรมหรือเปล่า ?

แชร์บทความนี้