ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

7 ข้อเท็จจริงที่จะทำให้คุณต้องทึ่งเกี่ยวกับเด็กน้อยในครรภ์ที่มีแค่ไม่กี่คนเท่านั้นที่จะรู้

เด็กทารกทั้งหลายจะยังไม่ได้ถือว่าเป็นมนุษย์เต็มตัวจนกว่าจะคลอดออกมา แต่เด็กน้อยเหล่านั้นก็ค่อย ๆ ก่อเกิดเป็นตัวเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ในท้องแม่ ยกตัวอย่างเช่น ในการศึกษาเมื่อไม่นานมานี้ จากการจับตาดูตัวอ่อนในขณะที่อยู่ในครรภ์ของมารดา มีการจับภาพการตอบสนองต่ออาหารบางชนิดไว้ได้ ซึ่งนั่นหมายความว่าเด็กน้อยเหล่านั้นมีความสามารถที่จะสัมผัส รับรส หรือแม้แต่ได้ยินและตอบสนองต่อบางสิ่งบางอย่างได้จริง ๆ

การตอบสนองของเด็กน้อยต่ออาหารชนิดต่าง ๆ

จากงานศึกษาชิ้นหนึ่งที่มีคุณแม่ที่มีอายุครรภ์ตั้งแต่ 32 — 36 สัปดาห์เข้าร่วม โดยหนึ่งในอาหารที่คุณแม่ได้รับคือผักเคล ซึ่งดูเหมือนบรรดาลูกน้อยจะไม่ค่อยชอบอาหารชนิดนี้เท่าไหร่นัก ดูจากการที่พวกเขายู่ริมฝีปากบน เม้มปากและจากนั้นก็ทำหน้าราวกับร้องไห้ ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้ใช้เครื่องอัลตร้าซาวด์แบบ 4D สแกนและจับภาพปฏิกิริยาของตัวอ่อนในครรภ์ไว้ได้ และทำให้พวกเขาแน่ใจอย่างสุด ๆ เกี่ยวกับความรู้สึกที่เหล่าเด็กน้อยมีต่อผักเคลเหล่านี้

แต่เมื่อคุณแม่ได้รับแครอทและน้ำแครอท เด็กน้อยมีปฏิกิริยาที่แตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง โดยพวกเขาจะเม้มมุมปากและทำหน้าคล้าย ๆ กับว่ากำลังหัวเราะ ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นว่าเด็กน้อยชอบรสชาตินั้นเป็นอย่างมาก ความแตกต่างระหว่างรสชาตินี้คือหลักฐานชั้นดีที่นักวิทยาศาสตร์สามารถแสดงให้เห็นว่าตัวอ่อนในครรภ์สามารถเข้าใจความแตกต่างของรสชาติได้ตั้งแต่อยู่ในท้องนั่นแหละ

เหตุผลที่พวกเขาคิดว่าแครอทเป็นที่ชื่นชอบมากกว่าก็มาจากรสที่หวานกว่าของมันนั่นแหละ เพราะแครอทมีส่วนประกอบของน้ำตาลมากกว่า และบางครั้งก็ให้ความรู้สึกว่ามันมีรสชาติของ “ผลไม้” นิด ๆ อยู่ด้วย ในทางตรงกันข้าม ผักเคลนั้นมีรสที่ขมกว่า ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผักเคลได้รับคัดเลือกให้นำมาใช้ในการทดลองนี้ยังไงล่ะ

เมื่อไหร่กันนะที่ตัวอ่อนเริ่มมีต่อมรับรส

ความสามารถที่ตัวอ่อนจะเข้าใจในรสชาติต่าง ๆ ได้นั้นเริ่มพัฒนาขึ้นตั้งแต่ที่อายุครรภ์ได้ 8 สัปดาห์ นั่นแหละที่ต่อมรับรสเริ่มก่อตัวขึ้น เด็กน้อยต้องกลืนน้ำคร่ำปริมาณ 3/4 — 4 ถ้วยทุก ๆ วัน และก็ได้รับรสต่าง ๆ ที่คุณแม่รับประทานเข้าไปจากตรงนี้นี่แหละ ไม่ว่าจะเป็นน้ำตาล กรดอะมิโน โปรตีน เกลือ หรือกรดไขมัน ทุกอย่างล้วนรวมอยู่ในน้ำคร่ำเหล่านั้นซึ่งเด็กน้อยจะบริโภคเข้าไป นี่คือสาเหตุว่าทำไมเด็กน้อยก็รู้จักเลือกที่รักมักที่ชังในรสชาติต่าง ๆ มาอย่างยาวนานก่อนที่พวกเขาจะลืมตาดูโลกและเริ่มได้หม่ำอาหารอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเสียอีก

เด็กน้อยมีขนเต็มไปหมดเลยนะตอนอยู่ในท้อง

สิ่งเหล่านี้เรียกว่าขนอ่อนของเด็กทารก (lanugo) ซึ่งเป็นชั้นขนที่บางมากที่ปกคลุมทั่วทั้งตัวเด็กน้อย แม้แต่ใบหน้าก็ตาม สร้างเป็นบางสิ่งที่ดูคล้ายกับหนวดขึ้นมา แต่ขนเหล่านี้จะไม่อยู่บนร่างกายเด็กน้อยนานเกินไปนักหรอก โดยขนส่วนมากจะหายไปก่อนที่เด็กน้อยจะคลอดออกมา ซึ่งขนเหล่านี้ยังมีปรากฏอยู่ในสายพันธุ์จำพวกช้าง วาฬ และแมวน้ำอีกด้วย สิ่งเดียวที่แตกต่างกันก็คือสายพันธุ์เหล่านั้นจะยังมีขนเหล่านี้อยู่บนร่างกายแม้ภายหลังจากที่คลอดออกมาแล้วก็ตาม

หัวใจของเด็กน้อยจะเริ่มเต้นเมื่ออายุครรภ์ได้ 5 สัปดาห์ และเต้นเร็วมาก

หัวใจของเด็กทารกจะเริ่มเต้นหลังจากอายุครรภ์ได้ 5 — 6 สัปดาห์ และขนาดของหัวใจก็ไม่ใหญ่ไปกว่าหัวของเข็มหมุดเท่าไหร่นักหรอก ซึ่งจะต้องใช้เวลาประมาณ 10 สัปดาห์กว่าที่หัวใจจะเจริญเติบโตเต็มที่ และมีอัตราการเต้นอยู่ที่ระหว่าง 110 — 160 ครั้งต่อนาที ซึ่งมีเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจมากตรงที่จนถึงช่วงระยะสุดท้ายของการตั้งครรภ์ ตัวอ่อนเพศหญิงมักจะมีอัตราการเต้นของหัวใจที่เร็วกว่าตัวอ่อนเพศชาย

เด็กน้อยหาวเป็น ร้องไห้เป็น และปัสสาวะได้นะ

มีผลอัลตร้าซาวด์ที่คุณหมอสังเกตเห็นว่าตัวอ่อนมีการเปิดปากในรูปแบบเดียวกับที่คนทั่วไปแสดงท่าทางหาวกันด้วย ซึ่งการกระทำนี้จะสามารถสังเกตพบเห็นได้เป็นครั้งแรกที่ราว ๆ 24 สัปดาห์ แต่พอถึงสัปดาห์ที่ 36 ดูเหมือนว่าท่าทางนี้จะหายวับไปอย่างสิ้นเชิง ในขณะเดียวกันกับที่พวกเขาหาวได้เป็นครั้งแรก เด็กน้อยก็จะเริ่มร้องไห้ได้ด้วย ถึงแม้ว่าเราจะไม่สามารถได้ยินเสียงเวลาที่เด็กน้อยร้องไห้ แต่การเคลื่อนไหวอย่างการสั่นเทาบริเวณคาง ปากขยับ และการที่ฟันกรามขยับอ้า ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าเด็กน้อยกำลังมีอาการนี้

นอกจากนี้ นักวิจัยหลายคนต่างพูดว่าตัวอ่อนจะเริ่มปัสสาวะในครรภ์ในช่วงสัปดาห์ที่ 9 — 16 และเมื่อเด็กน้อยเติบโตขึ้นอีกนิด พวกเขาก็จะเริ่มผลิตปัสสาวะจำนวน 500 — 700 มิลลิลิตรต่อวัน และหากคุณสงสัยว่าแล้วปัสสาวะพวกนี้ไปจบลงที่ไหนล่ะ ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันก็อยู่ในน้ำคร่ำนั่นน่ะแหละ

เด็กน้อยเกิดมามีกระดูกมากกว่าผู้ใหญ่ถึง 50% เลยนะ

เป็นเรื่องจริงนะที่เด็กทารกที่อยู่ในครรภ์จะมีกระดูกถึง 300 ชิ้นเมื่อเกิดมา และเมื่อพวกเขาเติบโตขึ้น กระดูกหลายชิ้นในนั้นก็จะเริ่มหลอมรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันจนมีกระดูกทั้งหมดรวม 206 ชิ้น ซึ่งกระดูกที่เกินมาเกือบ 100 ชิ้นเหล่านี้จริง ๆ แล้วจะเรียกว่าเป็นกระดูกก็ไม่ถูกนัก เพราะส่วนมากมักเป็นกระดูกอ่อนที่ท้ายที่สุดแล้วก็จะหลอมรวมกับกระดูกจริง ๆ ชิ้นอื่น ๆ นั่นเอง และกระดูกอ่อนเหล่านี้ก็คือเนื้อเยื่ออ่อนที่จะมีปรากฏอยู่ทั่วร่างของเด็กทารก ซึ่งโดยหลัก ๆ แล้วจะสามารถพบเห็นได้หลังลำคอซึ่งปกติแล้วจะเป็นจุดที่อ่อนมาก

เสียงที่ดังสามารถส่งผลในแง่ลบต่อการได้ยินของเด็กน้อยได้

ในระยะประมาณ 18 สัปดาห์หลังการปฏิสนธิ ใบหูของตัวอ่อนก็จะเริ่มเจริญเติบโตออกมาและอาจสามารถที่จะได้ยินเสียงจากภายนอกได้ และเมื่อตัวอ่อนมีอายุในครรภ์ได้ 6 เดือน ตัวอ่อนก็จะสามารถขยับไปมาได้ทุกครั้งที่ได้ยินเสียงอะไรเข้า ในขณะที่ปกติแล้วการได้ยินเสียงดัง ๆ อย่างเสียงเพลงหรือเสียงไซเรนต่าง ๆ บ้างจะเป็นเรื่องที่ปลอดภัยดีและไม่ได้อันตรายใด ๆ แต่การที่จะต้องได้ยินเสียงเหล่านั้นอยู่ตลอดเวลานี่แหละที่อาจเป็นเรื่องอันตราย นั่นหมายความว่าผู้หญิงตั้งครรภ์ควรรักษาระดับเสียงรอบตัวให้อยู่ต่ำกว่า 115 เดซิเบลเข้าไว้ หากอยากให้หนูน้อยเกิดมาพร้อมกับการได้ยินที่เป็นปกติแข็งแรงดี

น่าทึ่งไหมล่ะว่าเด็กทารกสามารถเข้าใจอะไรได้หลายอย่างมากตั้งแต่ในช่วงระยะเริ่มแรก ? คุณเคยพบเจออะไรบ้างในช่วงที่คุณตั้งครรภ์ แล้วคุณกำลังวางแผนที่จะมีน้องหรือมีลูกน้อยเพิ่มอีกบ้างไหม ?

แชร์บทความนี้