ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

นักจิตวิทยาเผยวิธีที่เราสอนลูกให้ทรยศตัวเองและมันเป็นความจริงอันขมขื่น

ฉันนั่งอยู่ในคาเฟ่ มีครอบครัวมานั่งที่โต๊ะถัดจากฉัน พ่ออายุประมาณ 35 ปี ลูกชายอายุประมาณ 4 ขวบและคุณย่าซึ่งเป็นแม่ของพ่อคนนี้ พวกเขาสั่งชากับขนมปังรสหวานและพวกผู้ใหญ่ก็มัวแต่คุยกัน

เด็กชายเริ่มดื่มชาแต่มันร้อนเกินไป เขาพยายามที่จะจิบมันสองสามครั้ง แต่ในที่สุดก็เลิก เขาพูดกับผู้ใหญ่ว่า “มันร้อนเกินไป” พวกผู้ใหญ่ไม่สนใจ เด็กชายพูดอีกครั้ง ดังขึ้นอีกนิด “มันร้อนเกินไป” แล้วคุณยายก็หันมาหาเขาแล้วพูดอย่างหงุดหงิด “มันไม่ร้อน อย่าทำเป็นพูดไปสิ”

พ่อแตะถ้วยและพยายามทำบางอย่าง แต่คุณย่าถามคำถามและทำให้เขาเสียสมาธิ เขากลับมาพูดคุยกับย่าอีกครั้งโดยปล่อยลูกชายไว้กับปัญหาของเขา เด็กชายพยายามดึงดูดความสนใจอีกครั้ง ย่าบอกเขาอย่างโกรธเคืองว่า “พอแล้ว ดื่มเลย ไม่ร้อน ดื่มซะ เราต้องรีบไป” เธอหันกลับมาหาพ่ออีกครั้ง เด็กชายค่อย ๆ ดื่มชาที่เขาเป่าทีละนิดและกินขนมปัง ในที่สุดพวกเขาก็ลุกขึ้นและจากไป ระหว่างทางคุณย่าดุเด็กว่า “ถ้าทำอย่างนี้ คราวหน้าจะไม่พามาด้วยแล้ว”

พูดตรง ๆ ฉันควรตำหนิย่า แต่มาลองให้ความสนใจกับเด็กชายกันดีกว่า เขาเรียนรู้อะไรจากสถานการณ์นี้บ้าง

  • ปัญหาของเขาไม่สำคัญและเขาก็ไม่สำคัญเช่นกัน
  • เขาพูดปัญหาของเขาออกมาดัง ๆ ไม่ได้
  • เขาขอความช่วยเหลือไม่ได้ เขาจะถูกดุหรือเมินเฉย ถ้าเขาทำ มันจะยิ่งแย่ลงไปอีก
  • เขาเชื่อประสาทสัมผัสและความรู้สึกของตัวเองไม่ได้ คนอื่นรู้ดีกว่าว่าเขาควรรู้สึกยังไงในสถานการณ์นี้
  • คนที่เขารักอาจปฏิเสธเขาได้เพียงเพราะเขาบอกว่าเขารู้สึกแย่
  • พ่อของเขาจะไม่แก้ต่างและปกป้องเขา
  • พ่อของเขาอ่อนแอกว่าย่าของเขา ภาพจำนี้จะส่งผลต่อเขาในอนาคต

รายการนี้ไม่ได้ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ฉันคิดว่ามันน่าจะเพียงพอที่จะทำให้เรากลัวได้ สถานการณ์ทั้งหมดนี้กินเวลาประมาณ 10 นาที ฉันคิดว่ามันเกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำอีกในรูปแบบต่าง ๆ ที่บ้านเมื่อคนในครอบครัวสื่อสารกัน เด็กชายเพียงแค่ต้องมีประสบการณ์ซ้ำ ๆ หลาย ๆ ครั้งและเขาจะจำบทเรียนนี้ฝังใจจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต

เมื่อเราทุกคนโตขึ้น เราได้ยินเรื่องคล้าย ๆ กัน เราคือผลผลิตของ “การอบรมเลี้ยงดู” ประเภทนี้ เราไม่ได้ยินตัวเอง ไม่ไว้วางใจตัวเอง ทำตามผู้อื่นและซ่อนความต้องการของเราเอง

เมื่อฉันรู้สึกแย่ในบางสถานการณ์หรือระหว่างการสื่อสารกับคนอื่น นั่นหมายถึงสิ่งเดียวเท่านั้น ฉันรู้สึกแย่ นี่คือความรู้สึกของฉัน ฉันทำตามและเชื่อมั่นในความรู้สึกเหล่านี้ ฉันต้องปกป้องตัวเองด้วยวิธีการอะไรก็ตามที่จำเป็น นี่คือการแสดงความรักต่อตัวฉันเอง ฉันไม่ต้องคิดเลยว่าทำไมมีคนมาทำให้ฉันรู้สึกแย่หรือแสดงให้พวกเขาเข้าใจ ฉันไม่ต้องวิเคราะห์ว่าพวกเขามีวัยเด็กที่ยากลำบากและมีความบอบช้ำทางจิตใจที่ทำให้พวกเขาปฏิบัติต่อผู้อื่นแบบนี้ได้หรือเปล่า พวกเขาต้องคิดเอาเองและนั่นไม่ใช่ความรับผิดชอบของฉันอย่างแน่นอน

ถ้าคุณรู้จักวิธีป้องกันตนเองและกำหนดขอบเขต สิ่งเหล่านี้จะตอกย้ำการเติบโตของการเคารพตนเอง ในขณะที่คุณให้เกียรติตัวเอง คุณจะพัฒนาความสามารถบางอย่างได้ เช่น การมองสถานการณ์ผ่านสายตาของบุคคลอื่น ,การเข้าใจเหตุผลของพวกเขา ,การไม่โกรธพวกเขา ,การยอมรับพวกเขาและการให้อภัยหรือไม่ให้อภัยพวกเขา ถ้าคุณเดินไปตามเส้นทางนี้หลายครั้ง คุณจะพบกับผลไม้วิเศษ ทัศนคติฉัน-ไม่-ใส่ใจ-หรอก ที่ดีต่อใจ

คุณดูถูกฉันได้ แต่ฉันแค่ยักไหล่แล้วคิดว่า “ก็เกิดขึ้นได้” หลังจากนั้น คุณจะเริ่มยอมรับผู้คนในแบบที่พวกเขาเป็นและคุณจะรู้ว่าเราทุกคนเป็นเด็กผู้ชายและเด็กผู้หญิงที่ถูกผู้ใหญ่สอนให้ทรยศต่อตัวเอง เราทุกคนยังคงรู้สึกเจ็บปวดกับมันเพราะงั้นเราควรหลีกเลี่ยงการเพิ่มความเจ็บปวดนี้ด้วยการส่งต่อความรู้สึกแย่ ๆ

เราถูกสอนมาตั้งแต่เด็กว่าอย่าเชื่อในความรู้สึกของเรา เราถูกบอกว่า “เธอรู้สึกแบบนี้ไม่ได้ มันไม่ถูกต้อง” เราเติบโตขึ้นมาโดยไม่มีความสามารถในการแยกแยะความรู้สึกเหล่านี้และคุณพูดออกมาดัง ๆ ว่าคุณรู้สึกแย่ไม่ได้ เพราะคุณจะถูกตำหนิ ด้วยเหตุนี้จึงเป็นสิ่งสำคัญมากที่จะเรียนรู้ที่จะไว้วางใจความรู้สึกของตัวเอง แสดงให้โลกเห็นและพูดคุยเกี่ยวกับความรู้สึกเหล่านั้น แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะเข้าใจ แต่แค่เฉพาะกับคนที่เข้าใจคุณและไม่หัวเราะเยาะคุณเท่านั้น หลังจากนั้น คุณควรพัฒนาความสามารถในการกำหนดขอบเขตและปกป้องพวกเขา แม้กระทั่งในเชิงรุก ถ้าจำเป็น

แรก ๆ มันอาจเป็นแค่ความก้าวร้าว คุณจะได้เรียนรู้วิธีการแสดงออกในลักษณะที่ต่างออกไปในภายหลัง นั่นคือเหตุผลที่ทำให้คุณเห็นความเจ็บปวดมากมายในสายตาของคนในวัฒนธรรมตะวันออกที่สนับสนุนสันติภาพและความรักสากล แม้ว่าพวกเขาจะยิ้มและแสดง “การตื่นรู้” ของพวกเขา แต่พวกเขาก็พลาด 2 ขั้นตอนเพราะพยายามจะไปถึงขั้นที่สามในทีเดียว แต่นั่นไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง คุณต้องทำตามขั้นตอนตามลำดับ

ชีวิตสดใสเผยแพร่บทความนี้โดยได้รับอนุญาตจากลาริสา เวอร์ตีเชวา (Larisa Vertysheva)

เครดิตภาพพรีวิว icsilviu / Pixabay
ชีวิตสดใส/ครอบครัว & เด็ก/นักจิตวิทยาเผยวิธีที่เราสอนลูกให้ทรยศตัวเองและมันเป็นความจริงอันขมขื่น
แชร์บทความนี้