9 สัญญาณที่บอกว่าคุณกินน้ำตาลมากเกินไป
น้ำตาลมีรสชาติดี และทุกอย่างที่มีมันอยู่ในนั้นก็ยิ่งมีรสชาติดีขึ้นไปอีก! คาร์โบไฮเดรตในรูปแบบของผลึกหวาน ๆ ดูเหมือนจะมีอยู่ไปทั่วทุกที่ และเราส่วนใหญ่ก็ชอบคิดถึงรสชาติอันลืมไม่ลงของขนมหวานสุดโปรดอยู่ตลอดเวลาเมื่อเราหิว แต่ทว่าสิ่งที่ดูเหมือนเป็นความสุขไร้พิษภัยนี้ แท้จริงแล้วกลับเป็นสาเหตุของปัญหาสุขภาพที่ซับซ้อนหลายอย่าง หากเราบริโภคมันในปริมาณเยอะ ๆ ทุกวันนี้น้ำตาลเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงได้ยาก และเราหลายคนถึงกับไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าเสพติดน้ำตาลมากแค่ไหน
ทางชีวิตสดใสได้รวบรวมสัญญาณเตือนหลายอย่างที่ร่างกายบอกกับคุณ ซึ่งชี้ให้เห็นว่าถึงเวลาที่คุณต้องถอยห่างจากของหวาน ๆ ได้แล้วล่ะ
9. ปวดกล้ามเนื้อและข้อ
คุณรู้สึกว่าตัวเองงดไปเดินเล่น ทำสวน หรือไปตีกอล์ฟอย่างที่ทำเป็นประจำ เพราะปวดเมื่อยอยู่หรือเปล่า? นี่อาจเป็นหนึ่งในสัญญาณหลายอย่างที่ร่างกายของคุณใช้เตือนเกี่ยวกับการอักเสบที่เกิดขึ้นภายใน ปริมาณน้ำตาลที่สูงในอาหารทำให้เซลล์ภูมิคุ้มกันหลั่งสารที่ก่อให้เกิดการอักเสบเข้าสู่กระแสเลือดของคุณ ซึ่งพยายามทำให้ส่วนเกินของระดับโปรตีนและน้ำตาลในร่างกาย หรือโปรตีนที่จับกับโมเลกุลกลูโคสหยุดทำงาน
ยิ่งคุณกินน้ำตาลมากเท่าใด ส่วนเกินของระดับโปรตีนและน้ำตาลในร่างกายก็ยิ่งแสดงออกมา ส่งผลให้มีการหลั่งสารที่ทำให้เกิดการอักเสบมากขึ้นเพื่อไปทำลายวงจรนี้ และกระบวนการยังยั้งทางชีวเคมีดังกล่าวอาจส่งผลให้เกิดโรคข้ออักเสบ ต้อกระจก โรคหัวใจ ความจำไม่ดี หรือผิวหนังเหี่ยวย่น
8. ความอยากของหวานและอาหารที่มีน้ำตาลต่าง ๆ
น้ำตาลถูกแปรรูปรวดเร็วมากและทำให้คุณรู้สึกหิว ทั้ง ๆ ที่คุณก็เพิ่งกินมัฟฟินไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว อันที่จริงน้ำตาลเป็นที่รู้จักดีในเรื่องของการหลั่งสารโดปามีน คล้ายกับที่คุณรู้สึกเมื่อใช้สารเสพติด สารสื่อประสาทโดปามีนถูกปล่อยมาจากเซลล์ประสาทเข้ามาในระบบนี้เพื่อตอบสนองต่อเหตุการณ์ที่รู้สึกเหมือนได้รับรางวัล อีกทั้งสารชนิดนี้ยังขึ้นชื่อที่สุดในเรื่องการทำให้เราอารมณ์ดี
สมองมองว่าน้ำตาลเป็นรางวัลหรือสิ่งดีเลิศ ยิ่งคุณกินน้ำตาลมากเท่าใด ร่างกายของคุณก็ยิ่งอยากได้มันมากขึ้นเท่านั้น นับว่าเป็นวงจรอันเลวร้ายและเสพติด นอกจากนี้อาหารที่มีน้ำตาลสูงจะไม่ทำให้คุณรู้สึกอิ่ม เพราะมันไม่มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์
7. พลังงานสูงและต่ำ
กลูโคสมีหน้าที่จัดการพลังงานในร่างกายของคุณ การรักษาระดับน้ำตาลในเลือดให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก ความคลาดเคลื่อนใด ๆ ก็ตามอาจทำให้คุณมีพลังงานแบบขึ้น ๆ ลง ๆ ตลอดทั้งวัน เมื่อคุณกินของหวาน ตับอ่อนจะหลั่งอินซูลินเพื่อช่วยนำกลูโคสไปยังเซลล์ ทำให้คุณมีพลังงานที่พุ่งปรี๊ด แต่ทันทีที่วงจรนี้สิ้นสุด คุณก็จะรู้สึกว่าระดับพลังงานลดลง และร่างกายต้องการน้ำตาลมากขึ้น
เพื่อรักษาระดับพลังงานของคุณ ควรหลีกเลี่ยงการกินขนมและของว่างที่ไม่ดีต่อสุขภาพ แล้วหันมาเลือกโปรตีนที่มีไขมันต่ำและไขมันที่ดีต่อสุขภาพแทน อีกทั้งมองหาพลังงานแบบ “ของจริง” ให้กับร่างกายของคุณจากอาหารเพื่อสุขภาพ เพราะระดับน้ำตาลในเลือดที่พอดีจะไม่ทำให้พลังงานพุ่งสูงหรือลดลง
6. สิวเห่ออย่างต่อเนื่อง
อาหารที่มีการใส่น้ำตาลทำให้ระดับอินซูลินพุ่งสูงและเริ่มกระบวนการไกลเคชั่น หรือการผนึกน้ำตาลเข้ากับโมเลกุลโปรตีน ทันทีที่กลูโคสเข้าสู่กระแสเลือด กระบวนการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ในร่างกายอันซับซ้อนจะเกิดขึ้นตามมา ซึ่งอาจทำให้เกิดการอักเสบและปัญหาผิวหนังในที่สุด การเพิ่มขึ้นของอินซูลินนี้สามารถเพิ่มการทำงานของต่อมน้ำมันในผิวหนังของคุณและกระตุ้นกระบวนการอักเสบได้
หมายความว่าการกินอาหารที่มีน้ำตาลสูงนั้นสัมพันธ์กับความเสี่ยงสูงในการเกิดสิว หากผิวที่เกเรของคุณกวนใจ แถมยังไม่มีการรักษาใดที่ดูเหมือนจะช่วยคุณได้แล้วล่ะก็ ให้ลองเปลี่ยนนิสัยการกินอาหารคุณ เราไม่ได้ให้คุณตัดน้ำตาลออกจากชีวิตทั้งหมด แต่คุณอาจต้องการกินอาหารที่มีการใส่น้ำตาลน้อยลง
5. อ้วนขึ้น
ไม่น่าแปลกใจเลยที่พบว่ากางเกงยีนส์ของคุณคับตรงช่วงเอว คุณคงไม่คาดคิดว่าเค้กช็อกโกแลตที่คุณกินเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว จะย้อนกลับมาในลักษณะที่น่าเกลียดเช่นนี้ได้! อย่างไรเสีย สัญญาณที่ชัดเจนที่สุดอย่างหนึ่งของการกินน้ำตาลมากเกินไปก็คือน้ำหนักขึ้น
ขนมขบเคี้ยวและของหวานมักจะสะสมเป็นน้ำหนักไว้กลางตัวของคุณ น้ำตาลในระดับสูงจะเพิ่มการผลิตอินซูลินและเก็บไขมันส่วนเกินไปไว้ตรงหน้าท้องของคุณมากกว่าส่วนอื่น ๆ
4. ฟันผุ
อาหารหวาน ๆ ช่วยกระตุ้นการก่อตัวของหลุมฟันและฟันผุอย่างโต้เถียงไม่ได้เลย แต่ทว่าไม่ใช่น้ำตาลที่ทำให้ฟันของคุณผุ แต่เป็นเศษอาหารที่ติดอยู่บนฟันหลังจากที่คุณกินต่างหาก ถ้ามันไม่ย่อยหรือคุณแปรงฟันไม่ถูกวิธี เศษอาหารจะทำให้เกิดคราบพลัคบนฟันของคุณ โดยกัดเซาะพื้นผิวของฟันและทำให้เกิดเป็นรูเล็ก ๆ
อาหารที่มีน้ำตาลหลายชนิด เช่น ลูกกวาด ซีเรียลแห้ง และลูกอมมินต์ดับกลิ่นปากสามารถติดอยู่ในซอกฟันที่เข้าถึงยากของคุณได้ ทำให้เกิดฟันผุเร็วขึ้น ดังนั้นการรักษาสุขอนามัยในช่องปากอย่างเหมาะสมอาจช่วยให้คุณไม่ต้องมีนัดกับหมอฟัน
3. ความทนทานต่อน้ำตาลสูง
เมื่อคุณกินของหวานมาก ๆ ทุกวัน ต่อมรับรสของคุณจะชินกับความหวานในระดับเดียวกัน และอาจไม่ตอบสนองต่อความหวานเหมือนเมื่อก่อน น้ำตาลที่มากเกินไปจะทำให้เพดานปากของคุณหมดความรู้สึก ดังนั้นผลไม้รสหวานกับผลเบอร์รี่จึงไม่มีรสหวานสำหรับคุณอย่างที่มันควรจะเป็น แต่เชื่อเถอะ ไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้กินแอปเปิ้ลฉ่ำ ๆ แล้วเพลิดเพลินไปกับรสชาติของมัน ถ้าคุณไม่รู้สึกถึงรสหวาน ให้ลดการบริโภคสารเติมแต่งที่มีน้ำตาลมากเกินไป อย่างเช่น น้ำตาลทรายขาวกับน้ำเชื่อมหวาน ๆ แล้วเปลี่ยนไปกินอาหารที่มีความสมดุลแทน
2. เป็นหวัดและไข้หวัดใหญ่อยู่บ่อย ๆ
การบริโภคอาหารที่มีน้ำตาลมากเกินไปจะขัดขวางเซลล์ของระบบภูมิคุ้มกันไม่ให้โจมตีแบคทีเรียเมื่อคุณป่วย วิตามินซีที่ร่างกายต้องการเพื่อต่อสู้กับไข้หวัด มีโครงสร้างทางเคมีคล้ายคลึงกับกลูโคสเป็นอย่างมาก แทนที่มันจะมองหาและทำงานคู่กับวิตามินซี ระบบภูมิคุ้มกันของคุณได้ใช้กลูโคสที่มีพลังเป็นศูนย์ต่อต้านแบคทีเรียของไข้หวัด ดังนั้นแทนที่จะต่อสู้กับโรค ระบบภูมิคุ้มกันของคุณกลับทุกข์ทรมานจากมัน
เพื่อป้องกันสถานการณ์ดังกล่าว ให้ลดของหวานลงเมื่อคุณเสี่ยงที่จะเป็นหวัดหรือไข้หวัดใหญ่ อีกทั้งกินผักและผลไม้ที่อุดมไปด้วยสารอาหาร วิตามินซี วิตามินอี เบต้าแคโรทีน และสังกะสีให้มากขึ้น
1. รู้สึกท้องอืด
อาการท้องอืด จุกเสียดจากแก๊ส รวมถึงอาการไม่สบายของทางเดินอาหารอื่น ๆ อาจเกิดจากอาหารหลายชนิด แล้วหนึ่งในนั้นก็คือการกินน้ำตาลมากเกินไป! เนื่องจากอาการท้องอืดเกี่ยวข้องโดยตรงกับสิ่งที่คุณกินและย่อยมัน ดังนั้นน้ำตาลจึงมีบทบาทสำคัญในเรื่องนี้ หากลำไส้เล็กดูดซึมน้ำตาลได้ไม่ดี มันจะเข้าสู่ลำไส้ใหญ่ และน้ำตาลจะทำหน้าที่เหมือนกับแบคทีเรียที่ผลิตแก๊ส
น้ำตาลที่มากเกินไปสามารถสร้างความเสียหายในท้องของคุณได้ ดังนั้นพยายามหลีกเลี่ยงการกินสารให้ความหวาน ไดเอทโค้ก และขนมขบเคี้ยว อีกทั้งน่าสนใจว่าอาหารที่ปราศจากน้ำตาลประกอบไปด้วยน้ำตาลแอลกอฮอล์ซึ่งเป็นสารประกอบรสหวานที่ย่อยไม่ได้
น้ำตาลเท่าไหร่ที่มากเกินไป?
องค์การอนามัยโลกได้ระบุว่าปริมาณน้ำตาลที่แนะนำควรน้อยกว่า 10% ของปริมาณพลังงานที่คุณได้รับในแต่ละวัน โดย 10% ต่อวันเท่ากับการใส่น้ำตาล 7 ช้อนชา น้ำตาลนั้นอร่อยอย่างที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็จริงและเราทุกคนต่างชอบมัน แต่การกินมันมากเกินไปอาจมีผลเสียเยอะมาก ทั้งที่จริงคาร์โบไฮเดรตเพียง 4 กรัม = น้ำตาล 1 ช้อนชาในร่างกายของคุณ ดังนั้นควรระวังสัญญาณที่กล่าวมาข้างต้น และพยายามลดการบริโภคน้ำตาลในแต่ละวันของคุณ โดยการหาน้ำตาลจากผลิตภัณฑ์ธรรมชาติ อย่างเช่น ผลไม้ ผัก ถั่ว หรือซีเรียล
คุณคิดว่าการเป็นคนติดหวานมันคุ้มหรือเปล่านะ? มาแชร์ความคิดเห็นของคุณกับเราในคอมเมนต์ได้เลย !