ชีวิตสดใส
ชีวิตสดใส

25 เคล็ดลับทางจิตวิทยาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต่างยืนยันแล้วว่าพวกเขานำไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้วได้ผลเป็นอย่างมาก

ไม่ว่าจะเป็นการทำอาหารไปจนถึงการบินไปในอวกาศ หากมีเคล็ดลับเล็ก ๆ น้อย ๆ ก็สามารถทำให้เรื่องราวต่าง ๆ ลดความซับซ้อนยุ่งยากลงไปได้ เช่นเดียวกันกับเรื่องของความสัมพันธ์ระหว่างผู้คน คุณอยากจะสอนวิธีให้ลูกของคุณพูดกับคนอื่นยังไงบ้างไหม ? หรือทำยังไงถึงจะทำให้คนเงียบ ๆ ยอมพูดออกมาได้ ? คุณไม่ได้เป็นคนเดียวหรอกที่มีปัญหานี้ ซึ่งผู้ใช้เรดดิตได้มาเปิดเผยเคล็ดลับเล็ก ๆ ที่จะช่วยทุกคนได้ในทุกวันเลยแหละ

ชีวิตสดใสพยายามอย่างเต็มที่เพื่อทำให้ชีวิตของผู้อ่านของเราดียิ่งขึ้น และหวังว่าเคล็ดลับต่อไปนี้น่าจะช่วยพวกคุณได้เยอะนะ

  • ฉันชอบที่จะถามว่า “คุณมีคำถามอะไร?” มากกว่าถามว่า “คุณมีคำถามไหม?” เพราะคำถามแรกจะได้ผลลัพธ์เป็นคำถามที่อีกฝ่ายถาม ในขณะที่คำถามที่สองจะได้ผลลัพธ์กลับมาเป็นความเงียบงัน
  • จงมีเมตตาเถอะ แม้แต่กับคนที่ไม่น่ารักเท่าไหร่นัก ช่วงเวลาที่คน ๆ หนึ่งเปลี่ยนจากความโกรธเป็นความรู้สึกที่ดีขึ้น มันมีอะไรมีเสน่ห์อยู่ในนั้นเป็นอย่างมากเลยแหละ
  • การที่จะหลีกเลี่ยงปัญหาในที่ทำงานและทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างคุณกับเพื่อนร่วมงานดีขึ้น ให้พูดถึงพวกเขาแต่เรื่องดี ๆ เมื่อคุณพูดถึงพวกเขากับคนอื่น
  • ฉันทำงานในออฟฟิศ เวลามีใครมาอยู่ที่โต๊ะฉันนาน ๆ และไม่ไปซะที ฉันมักจะหยิบขวดน้ำไปเติมน้ำขณะที่พูดคุยไปด้วย แต่หลังจากนั้นฉันจะไม่กลับไปที่โต๊ะตัวเอง ฉันจะเดินไปที่โต๊ะของคนที่เดินมาคุยกับฉันนั่นแหละ ซึ่งมันจะทำให้คน ๆ นั้นต้องกลับไปนั่งที่ของตัวเองโดยอัตโนมัติ และฉันก็จะเป็นฝ่ายจบบทสนทนาและกลับไปทำงานได้
  • หากคุณสวมหูฟังแต่ไม่เปิดเพลงใด ๆ ทิ้งไว้ ผู้คนจะพูดอะไรที่น่าสนใจออกมาได้ง่ายขึ้นเมื่อคุณอยู่ใกล้พวกเขา
  • ฉันเป็นนักเล่นไพ่โป๊กเกอร์มืออาชีพ ในระหว่างเกมการแข่ง ฉันมักจะพยายามทำให้ฝ่ายตรงข้ามหัวเราะในขณะที่ฉันคิดถึงตาต่อไปของตัวเอง การที่พวกเขาหัวเราะจะทำให้พวกเขาคิดจะหลอกล่อฉันน้อยลง

  • คุณอยากให้คนอื่นชอบคุณไหม ? ถ้าอย่างนั้นให้ลองขอให้พวกเขาช่วยอะไรคุณเล็ก ๆ น้อย ๆ อย่างเช่น “ช่วยถือปากกาให้ฉันแป๊บนึงได้มั้ย ?” สิ่งนี้จะเข้าไปหลอกสมองให้พวกเขาคิดว่าพวกเขาชอบคุณ เพราะไม่อย่างนั้นพวกเขาจะช่วยคุณทำไมกัน ?
  • ก่อนอื่นเลยให้ลองขอในสิ่งที่ไม่ว่ายังไงคุณก็ไม่มีวันจะได้มา แล้วค่อยตามด้วยสิ่งที่คุณอยากจะได้จริง ๆ สิ่งนี้เรียกว่า “เทคนิคการยอมให้ปิดประตูใส่หน้าครั้งหนึ่ง (Door-in-the-face technique)” (จากชีวิตสดใส นี่เป็นเทคนิคที่เล่นกับความรู้สึกผิดของอีกฝ่าย เมื่อปฏิเสธคำขอหนึ่งไปแล้ว ก็ยากจะปฏิเสธคำขอครั้งต่อไป จึงให้ขอมากไปก่อน ทั้ง ๆ ที่เป้าหมายอยู่ที่การขอครั้งที่น้อยกว่า)
  • อย่าขอโทษ แต่ให้กล่าวขอบคุณแทน ดังนั้นให้พูดว่า “ขอบคุณที่อดทนรอนะคะ !” แทนที่จะพูดว่า “ขอโทษที่มาสายค่ะ” การทำแบบนี้จะเป็นการเบี่ยงความสนใจไปจากความผิดพลาดของคุณ และเป็นการเน้นคุณสมบัติด้านดี ๆ ของคนที่คุณมีปฏิสัมพันธ์ด้วย
  • หากคุณต้องการจะวิพากษ์วิจารณ์ใครสักคน ให้เริ่มด้วยการพูดอะไรที่เป็นแง่บวก และค่อย ๆ วิจารณ์ตามมา และตบท้ายด้วยอะไรที่เป็นแง่บวกอีกครั้งหนึ่ง การทำเช่นนี้จะทำให้อีกฝ่ายรับคำวิพากษ์วิจารณ์ได้ในเชิงบวกมากขึ้น
  • ฉันมักจะได้ข้อมูลมากขึ้นหากฉันรับฟังใครสักคนเงียบ ๆ แค่ปล่อยให้คนนั้นได้พูดออกมา แต่หากอีกฝ่ายขัดคุณขึ้นมา ก็ให้รอสักครู่ พวกเขาจะรู้สึกอยากที่จะพูดออกมาและจะเริ่มพูดต่อเอง
  • ฉันเคยทำงานในวงการโฆษณาและเจ้านายก็เคยสอนฉันไว้ว่าให้สร้างข้อผิดพลาดเล็ก ๆ ที่สังเกตเห็นได้ชัดในแบบร่างตัวแรกก่อนที่จะได้รับการอนุมัติ ลูกค้าจะสังเกตเห็นข้อผิดพลาดนั้นและขอให้คุณแก้ไขมัน และลูกค้าก็จะรู้สึกดีที่ได้ทำแบบนั้น ตอนนี้ฉันออกมาทำงานเป็นฟรีแลนซ์แล้ว และเมื่อไหร่ที่เจอลูกค้าที่เอาใจยาก ฉันก็จะสร้างข้อผิดพลาดเล็ก ๆ น้อย ๆ ขึ้นมาด้วยความตั้งใจ และมันก็ได้ผลทุกครั้งเลย
  • ไม่ว่าจะมีการโต้เถียงกันด้วยเรื่องอะไร ก่อนอื่นคือต้องหาสิ่งที่ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องต้องกันให้ได้เสียก่อน แล้วค่อยไปที่หัวข้อหลัก
  • หากคนที่คุณพูดคุยอยู่ด้วยพยายามจะหาเหตุผลให้กับการกระทำของตัวเอง วิธีที่ดีที่สุดในการตอบโต้ก็คือการเงียบไว้ ทำให้คำพูดของพวกเขากลายเป็นคำพูดพล่ามไปเสียเฉย ๆ เมื่อไม่ได้รับการตอบรับใด ๆ คน ๆ นั้นจะสูญเสียความมั่นใจในคำพูดของตัวเองไปเอง ฉันได้เรียนรู้เทคนิคนี้มาจากเจ้านายฉันที่เป็นคนควบคุมการประชุมทุกครั้ง และมักเป็นคนที่เงียบที่สุดในห้องเสมอ
  • เมื่อผมออกไปเดินป่าในเขตพื้นที่ห่างไกลที่ประเทศผม ผมควรจะต้องจับตาคนที่พาสุนัขออกมาเดินเอาไว้ (ซึ่งผิดกฎหมายนะ) เจ้าหน้าที่ดูแลป่าเคยสอนผมว่าให้ถามคนที่พาสุนัขมาเดินว่า “คุณกำลังมองหาที่ที่จะพาสุนัขไปเดินเล่นอยู่รึเปล่า?” ซึ่งนี่เป็นการให้โอกาสพวกเขาแกล้งทำเป็นไม่รู้กฎเหล่านี้ (ถึงแม้จะมีป้ายติดอยู่ทั่วทุกแห่งหน) เพื่อไม่ให้พวกเขาเสียหน้า จากนั้นผมก็จะยื่นโบรชัวร์ทางเดินป่าที่สามารถพาสุนัขไปด้วยได้ให้พวกเขา
  • เมื่อไม่นานมานี้ฉันเพิ่งเข้าใจว่าการใช้คำพูดว่า “คุณพูดถูก !” แทนคำว่า “รู้แล้ว” ทำให้คนคนนั้นดูเย่อหยิ่งน้อยลง และไม่เป็นการด้อยค่าสิ่งที่คนอื่นอาจเพิ่งเคยค้นพบด้วย
  • ฉันได้เคล็ดนี้มาจากเพื่อน เขามักจะใช้เคล็ดนี้เมื่อไหร่ก็ตามที่ต้องคิดว่าจะพาแฟนสาวไปกินดินเนอร์ที่ไหนดี โดยแทนที่จะถามว่า “คุณอยากกินอะไร ?” และก็ได้รับคำตอบแบบเดิม ๆ ว่า “ไม่รู้สิ อะไรก็ได้...” และตามมาด้วยการต้องแนะนำร้านนั้นนี้ ให้เริ่มถามว่า “คุณไม่อยากกินอะไร ?” ฉันเคยใช้เคล็ดนี้เวลาคบหากับใครอยู่เหมือนกันนะ มันเป็นคำถามที่พระเจ้าส่งมาให้ชัด ๆ
  • ถามตรง ๆ และถามอย่างเฉพาะเจาะจงคนไปเลยหากคุณต้องการอะไร เช่นแทนที่จะถามว่า “ใครก็ได้ คนไหนมีปากกาบ้างมั้ย ?” ให้ถามไปเลยว่า “ใครมีปากกา ?” และการที่จะสั่งให้ใครโทรหา 191 ก็ให้พูดว่า “โอเค คุณคนที่ใส่แจ็กเกตสีน้ำเงินตรงนั้น คุณชื่ออะไร? โอเค ทอม เรียกรถพยาบาลให้ที”
  • ตอนนี้ฉันต้องบริหารคนประมาณ 240 คนกับร้านอาหารอีก 6 ร้าน บ่อยครั้งที่มันยากมากที่จะทำให้พวกเขาทำในสิ่งที่ฉันต้องการได้ แต่แล้วฉันก็พบว่าการพูดว่า “ฉันต้องการความช่วยเหลือมาก ๆ” แค่นี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้พวกเขาเข้ามาช่วยเหลือ ผู้คนล้วนอยากจะรู้สึกเป็นที่ต้องการและล้วนต้องการจะเป็นส่วนสำคัญในการเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างหนึ่ง การได้บอกความรู้สึกนี้กับพวกเขามันเป็นสิ่งสำคัญมากที่สุดในโลกนี้เลย
  • หากคุณอยากจดจำเรื่องอะไรให้ได้ ให้คิดเรื่องนั้นไปด้วยในขณะที่ทำอะไรบางอย่างที่ผิดปกติจนสังเกตเห็นได้ สิ่งนี้จะเป็นการจับคู่ความทรงจำไว้กับ “บางอย่าง” ที่ทำนั้น เพื่อที่ว่าเมื่อกลับมาสังเกตเห็นการกระทำนี้ทีหลังอีกครั้ง มันจะไปกระตุ้นความทรงจำที่ผูกกันไว้ด้วย ยกตัวอย่างเช่นให้พูดกับตัวเองว่า “ฉันต้องเอาขยะไปทิ้งก่อนไปนอน” และเอาหมอนไปวางไว้ที่ปลายเตียง
  • หากมีใครกำลังโกรธหรืออารมณ์ไม่ดี ให้พูดว่า “เป็นเรื่องที่เข้าใจได้มาก ๆ” สิ่งนี้จะทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนได้รับชัยชนะ และช่วยเปลี่ยนแปลงอารมณ์ของเขาจากการพุ่งตรงเข้าใส่คุณ เพราะว่าคุณเข้าใจพวกเขาและอาจจะเป็นพวกเดียวกันกับพวกเขาก็ได้
  • ลูกคนเล็กของฉัน (อายุ 4 ขวบ) ติดพูดคำว่า “ทำไม” มาได้สักพักแล้ว ฉันไปอ่านบทความเกี่ยวกับวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้พวกเขาหยุดถามคำถามนั้น โดยการให้ถามกลับไปว่า “แม่ก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ลูกคิดว่าไงล่ะ ?” นี่เป็นสิ่งที่พระเจ้าประทานมาสุด ๆ ให้พวกเขาตอบคำถามของตัวเอง และคุณแค่เป็นคนให้ความคิดเห็น เช่น “ก็ฟังดูดีนะ” และพวกเขาก็จะไปสนใจเรื่องอื่นต่อไปได้ นี่มันเจ๋งสุด ๆ
  • ฉันสอนลูกสาวฉันเสมอว่าอย่าคิดว่าพูดขอโทษแล้วทุกอย่างจะจบกัน เริ่มด้วยให้ลูกพูดขอโทษ และต้องถามอีกฝ่ายต่อไปด้วยว่า “หนูจะทำยังไงให้คุณรู้สึกดีขึ้นได้บ้างคะ ?” สิ่งนี้จะเป็นการช่วยให้เด็ก ๆ ต้องรับผิดชอบกับการที่ทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่ และรับรู้ว่าแค่การพูดว่าขอโทษไม่สามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่ตนเป็นต้นเหตุได้ การตอบว่า “ขอบคุณที่มาขอโทษนะ” สามารถไปกันได้ดีกับประโยคที่ว่า “ฉันจะรู้สึกดีขึ้นถ้าเธอคืนของเล่นของฉันมาให้ฉัน”
  • เมื่อไหร่ก็ตามที่ฉันมีเรื่องสำคัญที่ต้องพูดกับลูก ๆ ฉันจะพูดเสียงเบามาก ๆ เพื่อให้พวกเขาต้องตั้งใจฟัง พวกเขามีภูมิต้านทานกับการที่ฉันตะโกนใส่พวกเขาแล้ว แต่การกระซิบกลับเรียกความสนใจได้มากกว่า
  • ฉันเริ่มสอนให้ลูกวัย 4 ขวบถามเต็มประโยคคำถาม ดังนั้นตอนนี้เขาต้องถามว่า “ทำไมท้องฟ้าถึงเป็นสีฟ้าฮะ ?” แทนที่จะถามแค่ “ทำไม ?” มันทำให้เขาได้หยุดคิด และเชื่อมโยงตัวเขาเข้ามาสู่บทสนทนาได้มากขึ้น และเป็นการตัดวงจรที่ไม่มีวันสิ้นสุดของคำว่า ทำไม ทำไม ทำไม ทำไม ทำไมอ่ะ...

คุณว่าเคล็ดลับไหนที่มีประโยชน์มากที่สุด และทำไมคุณถึงคิดอย่างนั้นล่ะ?

เครดิตภาพพรีวิว Depositphotos
ชีวิตสดใส/จิตวิทยา/25 เคล็ดลับทางจิตวิทยาที่ผู้ใช้อินเทอร์เน็ตต่างยืนยันแล้วว่าพวกเขานำไปใช้ในชีวิตประจำวันแล้วได้ผลเป็นอย่างมาก
แชร์บทความนี้