9 สิ่งในซูเปอร์มาร์เก็ตที่เราควรจะรู้ทัน เพื่อที่จะได้สินค้าที่มีคุณภาพ
เมื่อไปซื้อสินค้า พวกเราทุกคนล้วนต้องการอาหารที่อร่อยและสดใหม่ อย่างไรก็ตาม ผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายหลายรายมุ่งเน้นไปที่ผลกำไรของพวกเขาและพยายามใช้วิธีการต่าง ๆ ในการขายสินค้าที่ขายได้ยากให้กับเรา ตัวอย่างเช่น คุณรู้ไหมว่าการใส่สมุนไพรลงไปเยอะ ๆ ในสลัดพร้อมกิน ช่วยซ่อนส่วนผสมที่หมดอายุแล้วได้ ? ผู้ซื้อเริ่มใส่ใจในเรื่องเหล่านี้มากขึ้น และได้เผยกลเม็ดใหม่ ๆ ที่ไม่ซื่อสัตย์ของผู้จัดจำหน่าย
ชีวิตสดใสรวบรวมเคล็ดลับบางอย่างที่สามารถทำให้คุณไม่ตกเป็นเหยื่อของกลโกงในร้านค้า และมั่นใจได้ว่าคุณจะมีความพึงพอใจกับสินค้าที่คุณซื้อเสมอ
1. หลีกเลี่ยงสินค้าที่บรรจุใหม่อีกครั้ง
พยายามหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารที่บรรจุมาแบบแยกเดี่ยว ที่ถูกหั่นหรือเตรียมไว้ในร้านขายอาหารสำเร็จรูป (อาหารเนื้อตัดเย็น, ชีสหรือผัก, ซอสหมัก, ผลไม้ ฯลฯ) มีความเป็นไปได้สูงว่าอาหารเหล่านี้หมดอายุแล้วหรือใกล้จะหมดอายุ
ในกรณีนี้จะไม่มีการบอกอะไรเกี่ยวกับวันที่ของการบรรจุ เพราะว่าสติ๊กเกอร์ที่มีข้อมูลนี้สามารถเปลี่ยนได้หลายครั้งต่อวัน แม้แต่อาหารสดในบรรจุภัณฑ์แบบนี้ก็ดึงดูดแบคทีเรียจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว นั่นเป็นสาเหตุที่เราควรจะบอกพนักงานในร้าน ให้ตัดและแพ็คอาหารของคุณต่อหน้าคุณ หรือเลือกสินค้าที่มีการบรรจุมาจากโรงงาน
2. ระมัดระวังอยู่เสมอในแผนกอาหารสำเร็จรูป
เมื่อซื้อสลัดสำเร็จรูป ให้ดูสลัดที่มีกระเทียมและเครื่องเทศหรือสมุนไพรสดเยอะ ๆ ให้ดี: นี่เป็นวิธีการที่พวกเขาใช้ซ่อนสินค้าที่หมดอายุแล้ว เมื่อเลือกสลัด ให้จำไว้ว่าสลัดเนื้อหรือปลาหมดอายุเร็วกว่าสลัดผัก และสลัดที่มีน้ำสลัดน้ำมันนั้นปลอดภัยกว่าสลัดที่ใส่น้ำสลัดมายองเนส
การเลือกสลัดที่ไม่มีน้ำสลัดนั้นดีกว่า เพราะเก็บได้ถึงสองวัน เพื่อความปลอดภัยสูงสุด คุณตรวจสอบร้านค้าและดูว่าพวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานความปลอดภัยในการทำงานกับอาหารหรือไม่ นี่คือบางส่วน:
- สลัดสำเร็จรูปควรใส่ไว้ในจานแก้ว (ในจานเหล็กจะรับออกซิไดซ์ได้ง่ายกว่า) ในตู้โชว์แยกต่างหาก
- ทุก ๆ จานควรมีช้อนแยก
- พนักงานในร้านสวมถุงมือแบบใช้แล้วทิ้งเมื่อสัมผัสอาหาร
3. ตรวจสอบสภาพของบรรจุภัณฑ์
ด้านที่เป็นรอยย่น, เสียรูปทรง, มีรอยแตก, กล่องที่โดนชนและมีร่องรอยของของเหลวที่แห้งแล้ว สิ่งเหล่านี้ไม่ใช่เพียงแค่ “ข้อบกพร่องด้านความสวยงาม” ความเสียหายใด ๆ ก็ตาม อาจเป็นสัญญาณของการจัดเก็บที่ไม่ถูกต้อง, สภาพการขนส่งที่ไม่ถูกต้อง และแม้กระทั่งการหมดอายุ
4. ค่อย ๆ ตรวจสอบสินค้าด้วยตัวเอง
พนักงานในร้านรู้จักวิธีการวางสินค้าของเขาในด้านที่ดีที่สุด หน้าที่ของคุณคือการดูว่ามีอะไรที่ซ่อนอยู่ ตัวอย่างเช่น การจัดแสงในตู้วางเนื้อ ทำให้ทุกอย่างดูสดใหม่และน่ารับประทาน ขอให้พนักงานหยิบชิ้นที่คุณต้องการออกมาและดูด้วยตัวเอง มันอาจจะมีความแตกต่างในแสงปกติ
เช่นเดียวกับอาหารแช่แข็ง: อย่าซื้ออาหารที่มีน้ำแข็งเกาะอยู่มาก ในกรณีส่วนใหญ่ สิ่งนี้หมายความว่าสินค้าถูกแช่แข็งและละลายน้ำแข็งมาแล้วหลายครั้ง ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของคุณและมันยังดูด้วยตาได้ยาก ว่ามีอะไรซ่อนอยู่ข้างใต้
อย่าพยายามเหมารวม หลายคนหลีกเลี่ยงการซื้อเนื้อที่มีพื้นผิวด้านบนที่แห้งเพราะเขาคิดว่ามันเก่า แต่นั่นหมายความว่าเนื้อได้สัมผัสกับอากาศและไม่ได้ถูกห่อด้วยพลาสติก ถ้าเนื้อดูเปียก นั่นหมายความว่าพนักงานพยายามจะ “ทำให้ใหม่” โดยการเทน้ำราดมัน ซึ่งจะทำให้เนื้อชุ่มฉ่ำน้อยกว่าเมื่อนำมาทำอาหาร
5. ระวังสินค้าที่มีสีสันสดใส
เป็นเรื่องดีที่จะมองว่าสีสันที่สดใสสัมพันธ์กับรสชาติที่ดี แต่กฏข้อนี้ใช้กับอาหารไม่ได้เสมอไป ตัวอย่างเช่น โดยทั่วไปผักและผลไม้ที่ปลูกในพื้นที่เปิดโล่งมักจะมีเปลือกที่คล้ำ, มีจุดและความไม่สมบูรณ์แบบอื่น ๆ ถึงแม้ว่ามันจะดีต่อสุขภาพและอร่อย ผลไม้ที่ถูกปลูกในโรงเรือนจะสวยงามและน่าดึงดูด แต่พวกมันอาจมีสารเคมี
หลายคนคิดว่าชีสยิ่งมีสีที่สว่างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีไขมันมากเท่านั้น และยิ่งทำให้รสชาติอร่อยมากขึ้นด้วย แต่ธรรมชาติของชีสมักจะมีสีขาวหรือออกเหลือง สีเหลืองสว่างมักจะมาจากการใส่สีเพิ่มเติม ในกรณีส่วนใหญ่ สีเหล่านี้ไม่มีอันตรายและทำมาจากเมล็ดต้นคำแสด แต่มันก็ไม่ใช่เกณฑ์ในการเลือกชีสที่ดี
แซลมอนที่มีสีสดใสสามารถทำได้โดยการใช้สีเคมี อีกตัวอย่างหนึ่งคือซอสมะเขือเทศและซอสอื่น ๆ ถึงแม้ว่าขวดโหลสีสันสดใสมักจะดึงดูดเราก็ตาม การเลือกซอสที่มีสีธรรมชาติก็ดีกว่า นั่นหมายความว่ามันทำมาจากส่วนประกอบจากธรรมชาติ
6. อย่าขี้เกียจ มองหาสิ่งที่คุณต้องการให้ทั่ว
เพื่อที่จะขายสินค้าที่แพงกว่าและได้กำไรเยอะกว่า ผู้ขายมักจะวางสินค้าเหล่านั้นบนชั้นที่สังเกตได้ง่ายที่สุด ที่ระดับสายตาของผู้ซื้อ ที่บริเวณตรงกลางของชั้นวางสินค้า สินค้าเหล่านี้เป็นที่จดจำเพราะว่าการโฆษณา แต่ไม่ได้หมายความว่ามันทำมาจากส่วนประกอบที่มีคุณภาพ
เพื่อให้มีการสูญเสียน้อยที่สุดเพราะสินค้าหมดอายุ พนักงานมักจะวางสินค้าที่ใกล้จะหมดอายุไว้ริมสุดของตู้แสดงสินค้า ข้อสรุปนี้ง่ายมาก: อย่าขี้เกียจ เอื้อมไปหยิบด้านหลังสุดของชั้นวาง เพื่อที่จะซื้อสินค้าที่สดใหม่กว่าและคุณภาพดีกว่า
7. เข้าใจความหมายของป้ายจริง ๆ
สิ่งนี้หมายถึงเงื่อนไขอย่างคำว่า “รสนม” หรือ “แต่งรสนม” ถูกใช้เพราะว่าส่วนผสมนั้น “ไม่แท้” ผู้ผลิตไม่ได้พยายามจะใช้ชื่อที่ “น่ารักขึ้น” หรือชื่อที่มีความเป็น “วิทยาศาสตร์” มากขึ้น คำว่า “รสนม”, “เหมือนชีส”, “โยโกส” และชื่อแปลก ๆ อื่น ๆ มีความตั้งใจที่จะปิดบังและขายสินค้าที่มีคุณภาพต่ำและราคาถูก เมื่อเทียบกับผลิตภัณฑ์จากของแท้
อย่าคิดว่าคำว่า “ไม่เติมน้ำตาล”, “ไม่มีคอเลสเตอรอล”, " อุดมไปด้วยวิตามิน" เป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงคุณภาพ จริง ๆ แล้ว “ไม่เติมน้ำตาล” หมายถึง “ประกอบด้วยสารให้ความหวานจำนวนมาก” และสิ่งที่ประกอบด้วยวิตามินมากมายก็ไม่ได้ดีเสมอไป
8. เลือกสินค้าในท้องถิ่น
บางครั้งเราก็มองข้ามข้อมูลที่จำเป็น เพราะคิดว่ามันอาจจะเป็นแค่การโฆษณาหลอกขาย ตัวอย่างเช่น มันเป็นเรื่องจำเป็นในการตรวจสอบว่าสินค้ามีแหล่งที่มาจากท้องที่หรือเปล่า มันเป็นเกณฑ์สำคัญในการเลือกผลไม้, ผัก และผลิตภัณฑ์จากนม
การซื้อสินค้าที่มาจากท้องถิ่นนั้นดีกว่า เพราะการขนส่งที่ยาวนาน และการละเมิดเงื่อนไขในการขนส่งอาจเกิดขึ้นได้ และส่งผลกระทบต่อรสชาติและคุณภาพของมัน
9. ขอคำแนะนำจากพนักงานขายในร้าน
มันอาจจะง่ายในการจัดเรียงสินค้าบนชั้นอย่างมีเล่ห์เหลี่ยม แต่มันไม่ง่ายที่จะโกหกลูกค้า ถามพนักงานด้วยตัวเองเกี่ยวกับสินค้าที่จำเป็น คุณจะหามันได้จากที่ไหน, มันสดแค่ไหน และสินค้าล็อตถัดไปจะมาเมื่อไหร่ ถึงแม้ว่าพนักงานพยายามจะโกหกคุณ คุณก็อาจจะสังเกตและหาข้อสรุปเองได้
โดยสรุปแล้ว เราควรกล่าวว่ามันเป็นสิ่งสำคัญในการเลือกอาหารของคุณอย่างชาญฉลาดและกระตือรือร้น อย่าลืมว่าพนักงานจะทำทุกทางที่เป็นไปได้เพื่อให้คุณซื้อสินค้าของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณใส่ใจอีกสักนิด บนโต๊ะของคุณก็จะมีแต่อาหารที่อร่อยที่สุดและดีต่อสุขภาพที่สุด
เคล็ดลับในการเลือกสินค้าที่ดีที่สุดของคุณในร้านขายสินค้าคืออะไร ?